มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ขอ ‘ดีเอสไอ’ คุ้มครองพยาน หลังหลักฐานชี้ชัด 'บิลลี่' เสียชีวิต
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ชื่นชมการทำงานของดีเอสไอ-หน่วยงานสนับสนุน คลี่คลายคดีหาหลักฐานชี้ชัด 'บิลลี่' พอละจี เสียชีวิต เรียกร้องกรมอุทยานฯ ร่วมมือพนักงานสอบสวนหาคนผิดมาลงโทษ พร้อมคุ้มครองพยาน 'ครอบครัวเหยื่อ' พ้นจากถูกข่มขู่คุกคาม
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า วันที่ 3 ก.ย. 2562 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกเเถลงการณ์ชื่นชมการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายหลังเเถลงข่าวความคืบหน้าคดีการถูกบังคับให้สูญหายของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ เเกนนำกะเหรี่ยงโป่งลึก-บางกลอย มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
วันนี้ 3 ก.ย. พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมทีมงานเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้แถลงความคืบหน้าคดี นายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำชาวกะเหรี่ยง หลานปู่คออี้ ที่ต่อสู้เรียกร้องเพื่อสิทธิชุมชนและสิทธิชนเผ่า พื้นเมืองชาวกะเหรี่ยงแห่งบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน และได้หายตัวไปเป็นเวลา 5 ปี หลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จับและควบคุมตัวไปตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.2557 โดยคดีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่สามารถคลี่คลายได้ จนกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้ามารับผิดชอบการสอบสวนตามคำร้องเรียนของญาติ จึงพบเป็นศพถูกฆ่า เผา และถ่วงน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานนั่นเอง
(อ่านประกอบ:ดีเอสไอยัน ‘บิลลี่’ ตายแล้ว พบกระดูกกะโหลกในเขื่อนแก่งกระจาน- ดีเอ็นเอตรงกับแม่)
การแถลงข่าวของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะในวันนี้ ระบุว่าจากการสืบสวนเมื่อประมาณปลายเดือน เม.ย.ถึงเดือน พ.ค. 2562 จากการประสานงานและสนับสนุนของเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายและองค์การภาคประชาสังคม ได้พบชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร 1 ถัง เหล็กเส้น 2 เส้น ถ่านไม้ 4 ชิ้น และเศษฝาถังน้ำมัน จากนั้นส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์พบว่า “วัตถุเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส ซึ่งตรวจสอบแล้วพบสารพันธุกรรมตรงกับนางโพเราะ รักจงเจริญ มารดาของนายพอละจี เมื่อพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานในสำนวนอื่นประกอบ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงเชื่อว่า วัตถุดังกล่าวเป็นกระดูกของ “นายพอละจี รักจงเจริญ ที่สูญหายไปและได้เสียชีวิตแล้วโดยน่าจะเกิดจากการถูกทรมานและฆ่า แต่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังต้องสอบสวนถึงสาเหตุการเสียชีวิตและคลี่คลายคดีนี้ต่อไป
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ขอชื่นชมการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆที่สนับสนุนจนสามารถได้พยานหลักฐานว่าบิลลี่เสียชีวิตแล้ว และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัว ญาติพี่น้องและชุมชนชาวกะเหรี่ยงแห่งบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดินต่อข่าวอันน่าสลดใจนี้ด้วย
จากการติดตามและให้ความช่วยเหลือครอบครัวของบิลลี่ในคดีนี้มาตลอด มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเชื่อว่าการกระทำผิดอันอุกอาจในคดีนี้ มีการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยการอุ้มฆ่า เผา ถ่วงน้ำอำพรางศพ ซึ่งถือเป็นการฆาตกรรมโดยทรมานอย่างโหดร้าย และสามารถขัดขวางและประวิงการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ได้นานถึง 5 ปี ดังนั้นคนร้ายน่าจะได้รับการบงการหรือสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่บางคนที่มีอิทธิพลในวนอุทธยานแห่งชาติแก่งกระจาน
ทั้งนี้ การบังคับบุคคลให้สูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ หรือโดยการรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานที่ประเทศไทยเป็นภาคีแล้ว และขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance: CED) ที่รัฐบาลและรัฐสภาไทยได้อนุมัติให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีได้
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม จึงมีข้อเรียร้อง ให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐดำเนินการ ดังต่อไปนี้
1.ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อไป เพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษโดยเร็ว และขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานของพนักงานสอบสวนอย่างเต็มที่โดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น
2.ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองพยาน โดยเฉพาะครอบครัวของบิลลี่ ให้พ้นจากการข่มขู่คุกคามจากอิทธิพลใดๆทั้งสิ้น
3.หากพบว่าการกระทำอันใดที่ละเมิดต่อนายพอละจี รักจงเจริญ อาจเกิดจากการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐคนใดเสียเอง ขอให้หน่วยงานต้นสังกัดย้ายหรือพักราชการเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวเพื่อป้องกันมิให้ใช้อิทธิพลในการแทรกแซงคดี และหากกระทำผิดต้องถูกลงโทษผู้ทั้งทางวินัยและทางอาญาตามกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของสังคมต่อกระบวนการยุติธรรม
4.ขอให้รัฐบาลและรัฐสภาเร่งรัด ดำเนินการในการตรากฎหมายอนุวัติการตามอนุสัญญาต่อต้ายนการทรมานและการป้องกันการบังคับบุคคลให้สูญหาย โดยยึดมั่นในหลักการตามอนุสัญญาทั้งสองฉบับโดยเคร่งครัดและครบถ้วน เพื่อคุ้มครองประชาชนและป้องกันไม่เกิดกรณีดังเช่นบิลลี่ขึ้นอีก
แถลงการณ์ ณ วันที่ 3 ก.ย. 2562
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/