DSI สั่งฟ้องอดีต สว.ศรีสุข รุ่งวิสัย กับพวก ตัวการใหญ่คดีแชร์ล็อตเตอรี่
วันนี้ (พุธที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๕) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงความคืบหน้ากรณี DSI สั่งฟ้องผู้ต้องหาอดีตสมาชิกวุฒิสภาศรีสุข รุ่งวิสัย กับพวก เป็นตัวการใหญ่ ในคดีแชร์ล็อตเตอรี่ ในฐานะพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบกรณีการสืบสวนสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (แชร์ล็อตเตอรี่) ซึ่งเกิดขึ้นกับสหกรณ์ออมทรัพย์ในจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ จังหวัดเลย ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด สกลนคร กาฬสินธุ์ ยโสธร ปทุมธานี ราชบุรี สงขลาและเชียงราย โดยสหกรณ์ออมทรัพย์ดังกล่าวได้ทำสัญญาซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลกับบริษัท เทวาสิทธิพิฆเนศ จำกัด บริษัท ศรีโสภา มาร์เก็ตติ้ง จำกัด และบริษัทจัมโบ้ซัพพลาย แอนด์เซอร์วิส จำกัด รวม ๓ บริษัท จำนวนรวม ๑๘ สัญญา มีความเสียหายตามสัญญา รวมประมาณ ๒๕,๕๖๑ ล้านบาท
พฤติการณ์ในการกระทำความผิดกล่าวคือ บริษัท เทวาสิทธิพิฆเนศฯ และ บริษัท ศรีโสภา มาร์เก็ตติ้งฯ โดยนายศรีสุข รุ่งวิสัย กับพวก ได้ร่วมกันหลอกลวงสหกรณ์ออมทรัพย์จังหวัดต่าง ๆ ให้เข้ามาเป็นคู่สัญญาซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยหลอกลวงว่าบริษัท เทวาสิทธิพิฆเนศฯ และบริษัท ศรีโสภาฯ เป็นคู่ค้า
สลากกินแบ่งรัฐบาลกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สามารถจัดหาสลากกินแบ่งรัฐบาลราคาถูกมาจำหน่ายให้กับสหกรณ์เพื่อนำไปจำหน่ายต่อและทำกำไรได้ โดยที่ความจริงแล้วบริษัททั้งสองไม่ได้เป็นคู่สัญญากับสำนักงานสลากฯตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด เมื่อสหกรณ์ออมทรัพย์จังหวัดต่าง ๆ โดยประธานและผู้จัดการสหกรณ์หลงเชื่อ ก็ได้ทำสัญญาซื้อขายสลากกินแบ่งและจ่ายเงินล่วงหน้า (ค่าเทคอม) ให้กับนายศรีสุขฯ ซึ่งต่อมาเมื่อนายศรีสุขฯ รับเงินไปแล้วก็ไม่ได้มีการส่งมอบสลากกันตามสัญญา และไม่ได้มีการคืนเงินให้กับสหกรณ์ ทำให้สหกรณ์ออมทรัพย์ต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย
จากการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานของหัวหน้าคณะทำงานสอบสวนคดีพิเศษ (พันเอกปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ) ในเบื้องต้นได้เสนอความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดรวม ๘๗ ราย คือนายศรีสุขฯ กับพวก รวมทั้งอดีตผู้บริหารสหกรณ์ออมทรัพย์จังหวัดต่าง ๆ แต่เมื่อรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (พันตำรวจเอกญาณพล ยั่งยืน) และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารแล้วมีความเห็นสอดคล้องกันว่าพยานหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดนั้น ยังไม่ปรากฏอย่างชัดเจนว่าอดีตผู้บริหารสหกรณ์ออมทรัพย์จังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งนิติบุคคลและบุคคลอีกบางรายมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่ต้น และโดยพฤติการณ์ในคดียังปรากฏข้อเท็จจริงอีกด้วยว่านิติบุคคลและบุคคลบางรายเหล่านี้ยังเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายเองอีกด้วย หากมีความผิดก็เป็นเรื่องทางแพ่งที่จะต้องว่ากล่าวหรือดำเนินคดีฟ้องร้องกันในทางแพ่งต่อไป จึงมีความเห็นควรสั่งฟ้องนายศรีสุขฯ กับพวก รวมผู้ต้องหาทั้งสิ้น ๑๔ ราย และสั่งไม่ฟ้องอดีตผู้บริหารสหกรณ์ออมทรัพย์จังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งนิติบุคคลและบุคคล บางราย นอกจากนี้ยังสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาอีกจำนวนหนึ่งโดยมีความเห็นว่าสมควรกันไว้เป็นพยานสำคัญในคดี ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ สำนักคดีอาญาพิเศษ ๑ ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดให้พนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ พิจารณาเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ แล้ว