ส.ทนายความ ติง ข่มขู่กดดันตุลาการศาลรธน.เป็นการทำลายระบบตุลาการ
สภาทนายความ ออกแถลงการณ์ สนับสนุนให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีโดยปราศจากอคติ ๔. ติง การข่มขู่กดดันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการทำลายระบบตุลาการ
วันนี้ (11 ก.ค.55) นายเจษฎา อนุจารี อุปนายกฝ่ายนโยบายและแผนงาน/รักษาการประธานกรรมการสำนักวิจัยและพัฒนาสภาทนายความ ออกแถลงการณ์สภาทนายความ ฉบับที่ 2/2555 ติงการข่มขู่ กดดัน การวินิจฉัยชี้ขาดคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อันเนื่องมาจากที่มีบุคคลได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยกรณีบุคคลและพรรคการเมืองจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๒๙๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดย วิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญ อันเป็นการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามหมวดที่ ๑๓ มาตรา ๖๘ โดยบุคคลดังกล่าวได้อ้าง ในคำร้องว่า ตนถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จึงมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าบทบัญญัติที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดย ผู้ร้องดังกล่าวได้ยื่น คำร้องในทำนองเดียวกันนี้ต่อองค์กรอื่นแล้ว แต่ไม่มีการดำเนินใด ๆ จึงเป็นกรณีที่ไม่อาจ ใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้ แล้วตามมาตรา ๒๑๒ ของรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้อง ดังกล่าวไว้เพื่อพิจารณาตามกฎหมายดังที่ทราบกันทั่วไปแล้วนั้น
ปรากฏว่า มีบุคคล กลุ่มบุคคล และสมาชิกพรรคการเมืองบางคนได้แสดงความคิดเห็น หรือรวมตัว ชุมนุมในที่สาธารณะหรือบริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะข่มขู่ กดดัน และชี้นำตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยคดีในทางที่เป็นคุณแก่ตนเองและพวกพ้อง เมื่อใดที่ศาลมีคำวินิจฉัยที่เป็นคุณแก่ตนเองและพวก พ้อง ก็จะชื่นชมว่า มีความเป็นกลาง มีความยุติธรรม แต่เมื่อใดที่มีคำวินิจฉัยที่เป็นผลร้ายแก่ตนเอง และพวกพ้อง ก็จะกล่าวหาว่า ไม่มีความเป็นกลาง ไม่มีความยุติธรรม ซึ่งสภาทนายความได้ติดตามข่าวสาร ในเรื่องนี้ ด้วยความห่วงใย
สภาทนายความเห็นว่า การวินิจฉัยชี้ขาดคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องเป็นไปตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญโดยปราศจากอคติ ๔ ตามคติบรรพบูรพาจารย์ของตุลาการ ได้แก่ ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ และ ภยาคติ
รัฐธรรมนูญได้รับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเสรีภาพในการชุมนุมตามบทบัญญัติ ในมาตรา ๔๕ และมาตรา ๖๓ ซึ่งเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน แต่การใช้เสรีภาพดังกล่าว ต้องอยู่ ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น รวมทั้งต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น ด้วย การแสดงความคิดเห็นหรือรวมตัวกันในลักษณะข่มขู่ กดดัน และชี้นำตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อาจเป็น การกระทำความผิดฐานข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยอำนาจหน้าที่หรือให้ละเว้นการ ปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และอาจเป็นการดูหมิ่น ศาลหรือผู้พิพากษา ในการพิจารณาพิพากษาคดีหรือกระทำการขัดขวางการพิจารณา และพิพากษาของศาลตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๑๓๙ และมาตรา ๑๙๘ ซึ่งมาตรา ๔๕ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ได้บัญญัติรับรองไว้
นอกจากนี้การข่มขู่ กดดัน และชี้นำตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นการทำลายระบบตุลาการที่เป็นเสาหลักในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมี คำวินิจฉัยเป็นอย่างไร ย่อมเกิดข้อครหาว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีโดยมี อคติ ๔
สภาทนายความจึงขอเรียกร้องให้ยุติการข่มขู่ กดดันและชี้นำตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาพิพากษาคดีภายใต้พระปรมาภิไธยได้โดยอิสระและเที่ยงธรรม ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๕๐ และขอสนับสนุนให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีโดยปราศจากอคติ ๔.
