ผลสำรวจอันดับความพร้อม “การเงินรากหญ้าไทย” ติดโหล่
ผอ.สำนักเศรษฐกิจการคลัง เผยทิศทาง “การเงินรากหญ้า” ลดเหลื่อมล้ำ ปลุกความตระหนักรู้ชาวบ้าน-แรงงานนอกระบบมีภูมิคุ้มกันหนี้ สร้างเครือข่ายองค์กรการเงินฐานราก บูรณาการหน่วยงาน เตรียมเสนอกฎหมายสินเชื่อ-ทวงหนี้ที่เป็นธรรม
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภายหลังสัมมนาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ว่ามีการหารือถึงทิศทางพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน อันเป็นกลไกสำคัญลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจของประชาชน เพื่อเป็นรากฐานเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็ง
โดยที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ดำเนินการตามเป้าหมายดังกล่าวโดย 1.ดำเนินนโยบายกระตุ้นการเติบโตและสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ผ่านการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 ในวงเงิน 1.167 แสนล้านบาท มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน และสนับสนุนให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเร่งขยายการปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยดำเนินมาตรการไทยเข้มแข็ง
2.ดำเนินนโยบายสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจด้วยการสร้างความเข้มแข็งของระบบการเงินภาคประชาชน ทั้งการขึ้นทะเบียนหนี้นอกระบบ โครงการหมอหนี้ โครงการสงเคราะห์เพื่อการยังชีพ ซึ่งประกอบด้วยการจ่ายค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเกิน 60 ปี จ่ายเบี้ยคนพิการ รวมทั้งจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) เพื่อสร้างระบบการออมเพื่อชราภาพที่ครอบคลุมทั่วถึงแรงงานทุกคน เป็นต้น
สำหรับบทบาทของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ที่ผ่านมา ได้จัดตั้งสำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน(สพช.) เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมและบูรณาการ ซึ่ง สพช.ได้ศึกษาปัญหาและอุปสรรคของการขึ้นทะเบียนหนี้นอกระบบระยะที่ 1 เพื่อเตรียมความพร้อมการขึ้นทะเบียนหนี้นอกระบบระยะที่ 2
ดำเนินการแก้ปัญหาหนี้สินภาคเกษตรกรภายใต้การทำงานของคณะทำงานพิจารณาความเป็นไปได้ และความเหมาะสมของข้อเสนอของแนวร่วมเกษตรกรไทที่มีรองปลัดกระทรวงการคลัง นายสมชาย พูลสวัสดิ์ เป็นประธาน โดยจัดทำข้อเสนอความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรอย่างครบวงจรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปความชัดเจนของแผนงาน แผนเงิน และแหล่งเงินสนับสนุนโครงการหมอหนี้ รวมทั้งการติดตามประเมินโครงการสินเชื่อประชาวิวัฒน์ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อแท็กซี่ไทยเข้มแข็ง และสินเชื่อสู้อาชีพไทยเข้มแข็ง
ในระยะต่อไป สศค.จะมุ่งเน้นสนับสนุนให้ประชาชนฐานรากเกิดวัฒนธรรมการออม มีระบบสวัสดิการ มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองมากขึ้น พัฒนาความตระหนักรู้ทางการเงิน พัฒนากระบวนการทำงานที่จะส่งเสริมการบริหารจัดการชุมชนและระบบการเงินภาคประชาชน โดยต้องเกิดการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน รวมถึงการพัฒนาเครือข่าย พัฒนาบนหลักการเชิงพื้นที่ที่มีลักษณะแตกต่างเฉพาะตัว
ทั้งนี้มีแผนงานโครงการสำคัญที่จะดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ได้แก่ 1.การดำเนินการตามแผนแม่บทการเงินฐานรากให้ต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งและสร้างเครือข่ายให้แก่องค์กรการเงินฐานราก พัฒนากรอบการกำกับดูแลระบบการเงินฐานรากที่เหมาะสม และบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2.ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจทางการเงินพื้นฐาน โดยเฉพาะกับประชาชนในชุมชนและแรงงานนอกระบบ 3.ศึกษาแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินที่ทั่วถึงขึ้น และการประกันรายย่อย 4.สำรวจและจัดทำฐานข้อมูลองค์กรการเงินฐานรากในพื้นที่นำร่อง 5.กำกับดูแลและสร้างบรรทัดฐานการดำเนินงานของผู้ประกอบการสินเชื่อส่วนบุคคลที่เป็นบุคคลธรรมดา และติดตามทวงถามหนี้ที่เป็นธรรม ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการเสนอกฎหมายเพื่อรองรับ
จากการดำเนินการข้างต้น ในระยะยาว สศค.มุ่งหวังว่าประเทศไทยจะมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งเสริมการเงินฐานรากที่ดีขึ้น (ทั้งนี้จากการสำรวจของ Economist Intelligence Unit พบว่าระดับความพร้อมด้านการเงินระดับฐานรากของไทยอยู่ในอันดับที่ 50 จาก 54 ประเทศ) และท้ายที่สุดประชากรระดับ ฐานรากทั้งหมดจะมีโอกาสเข้าถึงเงินทุนเพื่อการดำรงชีพ ระบบสวัสดิการสังคม ระบบการจัดหารายได้เสริมหรืออาชีพชดเชย และระบบการออม และมีภูมิคุ้มกันจากหนี้สินภาคประชาชนและหนี้นอกระบบ .
ที่มาภาพ : http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20090908/75722/