ฉบับเต็ม!คำพิพากษาศาลฎีกาคดีซี 9 รพช.รับสินบน 3 ล. ในห้องทำงาน
“นายประสิทธิ์กับนายไพฑูรย์เดินไปที่ห้องทํางานของจําเลยที่กองการเจ้าหน้าที่ ส่วนนายไพรินทร์รออยู่ชั้นล่าง นายไพฑูรย์มอบถุงบรรจุเงิน 3,000,000 บาท ให้นายประสิทธิ์ และรออยู่หน้าห้อง นายประสิทธิ์ถือถุงบรรจุเงินไปในห้องทํางานของจําเลยคนเดียวแล้วมอบเงินให้จําเลย”
คดีอื้อฉาวกรณี นายทวี ทวีวงศ์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์เร่งรัดพัฒนาชนบทสกลนคร รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการกองเจ้าหน้าที่ (ระดับ 9) สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) รับเงิน 3 ล้านบาทจากนายประสิทธิ์ วิไลลักษณ์ ผู้อำนวยการศูนย์เร่งรัดพัฒนาชนบทขอนแก่น (ระดับ 9) เพื่อช่วยเหลือมิให้นายประสิทธิ์ถูกโยกย้ายมารักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการกอง ระดับ 8 ในส่วนกลาง ล่าสุด วันที่ 18 เม.ย.2561 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ และ ศาลชั้นต้น จำคุกจำเลยเป็นเวลา 6 ปี ตามที่รายงานข่าวไปแล้วนั้น
(อ่านประกอบ:ปิดฉาก!ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 6 ปี ผอ.รพช.รับสินบน 3 ล.ซื้อขายเก้าอี้)
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงคำพิพากษาศาลฎีกามารายงาน
@พยานถอนสดจากแบงก์ขึ้นรถตู้ไปส่งให้ถึงห้องทำงาน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์หรือไม่ ในปัญหานี้ โจทก์มีนายประสิทธิ์เป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของพยานต่อคณะอนุกรรมการไต่สวน ได้ความว่า วันเกิดเหตุนายประสิทธิ์นําเงิน 3,000,000 บาท ไปให้จําเลยเพื่อเป็นค่าตอบแทนที่ตนเองจะไม่ต้องถูกย้ายออกจากจังหวัดขอนแก่น เพราะนายประสิทธิ์ทราบว่ามีคําสั่งให้ตนเองย้ายไปรักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการกองระดับ 8 ในส่วนกลางแต่ยังไม่เห็นคําสั่ง หากคําสั่งออกแล้วแต่ยังไม่มีการเวียนคําสั่งให้ทราบ ก็สามารถยกเลิกคําสั่งได้ โดยในวันดังกล่าวมีนายไพฑูรย์ ศรีอรรถจันทร์ นายไพรินทร์ ปีตะโพธิ์ นายสมควรธรรมอนันต์ และนายนิ้ว หาญห้าว ไปด้วย เมื่อไปถึงที่ทํางานของจําเลยที่สํานักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท กรุงเทพมหานคร นายประสิทธิ์กับนายไพฑูรย์เดินไปที่ห้องทํางานของจําเลยที่กองการเจ้าหน้าที่ ส่วนนายไพรินทร์รออยู่ชั้นล่าง นายไพฑูรย์มอบถุงบรรจุเงิน 3,000,000 บาท ให้นายประสิทธิ์และรออยู่หน้าห้อง นายประสิทธิ์ถือถุงบรรจุเงินไปในห้องทํางานของจําเลยคนเดียวแล้วมอบเงินให้จําเลย และมีบันทึกคําให้การของนายไพรินทร์ต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนตามเอกสารหมาย จ. 22 เป็นพยาน โดยนายไพรินทร์ให้การยืนยันได้ความว่า วันเกิดเหตุนายประสิทธิ์ขวนนายไพรินทร์กับนายไพฑูรย์ไปเบิกถอนเงินที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) สาขาวิสุทธิ์กษัตริย์ กรุงเทพมหานคร 3,000,000 บาทโดยนั่งรถตู้ของศูนย์ปฏิบัติการเร่งรัดพัฒนาชนบทขอนแก่นไป หลังจากเบิกถอนเงินแล้วก็เดินทางต่อไปที่สํานักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท เมื่อไปถึงนายประสิทธิ์กับนายไพฑูรย์เดินขึ้นไปบนอาคารของสํานักงาน โดยนายไพฑูรย์เป็นผู้ถือกล่องกระดาษใส่เงินที่เบิกถอนมาจากธนาคารส่วนนายไพรินทร์รอที่รถ หลังจากนั้นไม่นานนายประสิทธิ์กับนายไพฑูรย์เดินกลับมาที่รถแต่ไม่ได้ถือกล่องกระดาษใส่เงินมาด้วย ต่อมาจึงทราบจากนายประสิทธิ์ว่าเงิน 3,000,000 บาทได้นําไปให้จําเลยตามที่จําเลยเรียกร้อง เพื่อไม่ให้นายประสิทธิ์ต้องถูกย้ายไปที่อื่น สอดคล้องกับคําเบิกความของนายประสิทธิ์ดังกล่าว แม้ในชั้นพิจารณานายไพรินทร์จะเบิกความว่าที่นายประสิทธิ์ไปเบิกถอนเงิน 3,000,000 บาท นายไพรินทร์ไม่ได้ไปด้วย นายประสิทธิ์จะนําเงิน 3,000,000 บาท ไปให้ผู้ใดเป็นค่าอะไรนายไพรินทร์ไม่ทราบ และจําไม่ได้ว่าจะมีใครขึ้นไปบนสํานักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทบ้างก็ตาม แต่นายไพรินทร์ก็เบิกความยอมรับว่าเคยให้การไว้ต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนตามบันทึกคําให้การเอกสารหมาย จ. 22 และขอยืนยันข้อเท็จจริงตามบันทึกคําให้การดังกล่าว การที่นายไพรินทร์มาเบิกความในภายหลังบ่ายเบี่ยงไปจากที่ตนเองเคยให้การไว้ก่อนหน้านั้นเป็นเวลานานถึง 12 ปีเศษ ย่อมทําให้มีโอกาสเสริมแต่งข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เพื่อช่วยเหลือจําเลยได้ จึงเชื่อว่าคําให้การของนายไพรินทร์ต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนเป็นความจริงยิ่งกว่าคําเบิกความในชั้นพิจารณา
นอกจากนี้โจทก์ยังมีบันทึกคําให้การของนายไพฑูรย์ต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนตามเอกสารหมาย จ. 19ซึ่งให้การสอดคล้องกับคําเบิกความของนายประสิทธิ์ในข้อสาระสําคัญที่ว่ามีการเดินทางไปที่สํานักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท โดยนายประสิทธิ์เบิกถอนเงินแล้วนําไปให้จําเลยที่ห้องทํางานโดยนายไพฑูรย์เป็นผู้ถือเงินขึ้นไปพร้อมกับนายประสิทธิ์ด้วย ส่วนที่แตกต่างกันไปบ้าง เช่นภาชนะที่ใส่เงินเป็นถุงหรือกล่องกระดาษดังที่จําเลยฎีกา ก็เป็นเพียงรายละเอียดพลความไม่ทําให้คําเบิกความของนายประสิทธิ์ในข้ออื่นมีน้ำหนักลดน้อยลงแต่อย่างใด แม้คําให้การของนายไพฑูรย์เป็นพยานบอกเล่า แต่ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมพยานบอกเล่าเช่นว่านี้ย่อมพิสูจน์ความจริงได้ ทั้งได้ความว่านายไพฑูรย์ป่วยไม่อาจมาเบิกความได้จึงมีเหตุจําเป็นเนื่องจากไม่สามารถนําบุคคลซึ่งทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนเป็นไปโดยไม่ขอบประการใด ดังนี้ ศาลย่อมรับฟังคําให้การของนายไพฑูรย์ประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226/3 วรรคสอง (1) (2) ประกอบมาตรา 227/1
@ใบถอนเงิน 3 ล.แบงก์ไทยพาณิชย์มัด
และในประการสําคัญโจทก์ยังมีสําเนาใบแจ้งรายการบัญชีเดินสะพัดตามเอกสารหมาย จ. 16 อันเป็นหลักฐานสําคัญมาแสดงให้เห็นว่า ในวันเกิดเหตุมีการเบิกถอนเงินจากบัญชีเดินสะพัดธนาคารไทยพาณิชย์จํากัด (มหาชน) สาขาวิสุทธิกษัตริย์ บัญชีเลขที่ 025 - 3 - 02272 ของนายประสิทธิ์ 3,000,000 บาท จริง ยิ่งสนับสนุนคําเบิกความของนายประสิทธิ์ให้มีน้ําหนักมากขึ้น พยานหลักฐานของโจทก์ประกอบกันมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า วันเกิดเหตุนายประสิทธิ์กับพวกไปเบิกถอนเงินจากบัญชีเดินสะพัดธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) สาขาวิสุทธิ์กษัตริย์บัญชีเลขที่ 025 - 3 - 02272 ของนายประสิทธิ์ 3,000,000 บาท แล้วนายประสิทธิ์นำเงินดังกล่าวไปให้จําเลยที่ห้องทํางานของจําเลย เพื่อเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยเหลือให้นายประสิทธิ์ที่ประจําอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการเร่งรัดพัฒนาชนบทขอนแก่นไม่ต้องถูกย้ายออกจากจังหวัดขอนแก่น การกระทําของจําเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สําหรับตนเองโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ที่จําเลยฎีกาว่า หากมีการจ่ายเงินจริง เหตุใดเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2540 นายประสิทธิ์จึงถูกย้ายไปอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการเร่งรัดพัฒนาชนบทสกลนคร เห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีการตอบแทนนายประสิทธิ์โดยช่วยเหลือ ไม่ให้ต้องถูกย้ายออกจากจังหวัดขอนแก่นนั้น
@ ความผิดสำเร็จ-ป.ป.ช.ไต่สวนชอบ
เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จําเลยเป็นเจ้าพนักงานรับเงิน 3,000,000 บาท จากนายประสิทธิ์ในตําแหน่งโดยมิชอบด้วยหน้าที่เพื่อช่วยเหลือให้นายประสิทธิ์ไม่ต้องถูกย้ายออกจากจังหวัดขอนแก่น การกระทําของจําเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 แล้ว แม้ภายหลังจําเลยจะได้กระทําอย่างใดในตําแหน่งเพื่อช่วยเหลือนายประสิทธิ์หรือไม่ก็ตาม ก็ถือว่าเป็นความผิดสําเร็จตั้งแต่ขณะที่จําเลยรับเงินดังกล่าวแล้ว จําเลยจึงมีความผิดตามคําพิพากษาศาลอุทธรณ์
ส่วนที่จําเลยฎีกาว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนต้องเรียกพยานบุคคลที่ทํางานอยู่หน้าห้องจําเลยมาไต่สวนว่ามีใครเห็นนายประสิทธิ์กับนายไพฑูรย์ไปที่ห้องทํางานของจําเลยบ้างแต่กลับไม่เรียกพยานบุคคลดังกล่าวมาไต่สวน ถือว่าเป็นการไต่สวนไม่ชอบ ทําให้จําเลย เสียเปรียบนั้น
เห็นว่า การไต่สวนพยานเป็นดุลพินิจของคณะอนุกรรมการไต่สวนที่จะไต่สวน .บุคคลใดเป็นพยานก็ได้ และหากเห็นว่าข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้วก็ไม่จําต้องเรียกพยานอื่นมาทําการไต่สวนอีก ดังนั้น การที่คณะอนุกรรมการไต่สวนไม่เรียกพยานบุคคลดังกล่าวมาไต่สวน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการไต่สวนไม่ชอบแต่อย่างใด สําหรับฎีกาข้ออื่นของจําเลย แม้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ก็ไม่ทําให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง จึงไม่จําต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
อ่านประกอบ :
ปิดฉาก!ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 6 ปี ผอ.รพช.รับสินบน 3 ล.ซื้อขายเก้าอี้
ซี 9 แจ้งจับอดีตรองเลขาฯ รพช.-อธิบดี เบิกความเท็จ ป.ป.ช. คดีซื้อขายเก้าอี้ 3 ล.
ละเอียดยิบ! คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดี ผอ.รพช.รับสินบน 3 ล. ในห้องทำงาน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คุก 6 ปี ผอ.รพช.รับสินบน 3 ล.'ซี 9' คดีโยกย้ายตำแหน่ง