ย้อนผลสอบ ป.ป.ช. คดีส่วยรถบรรทุกสติ๊กเกอร์ใบละ 4.5 พัน ก่อน บิ๊กตร.นนท์ โดนคุก35ปี
"...เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ประกอบการจึงมีการตกลงกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องให้ละเว้นการตรวจค้น จับกุม โดยตกลงให้ผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ จากนั้น จะจัดส่งสติ๊กเกอร์พร้อมจำนวนรถยนต์บรรทุกและหมายเลขทะเบียนรถยนต์บรรทุกที่มีการตกลงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องไว้แล้ว การจ่ายเงินเป็นไปในรูป ของการนำเงินไปส่งให้โดยตรง หรือโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝาก และสติ๊กเกอร์รูปแบบต่าง ๆ จะพิมพ์ด้วยสีสะท้อนแสง..."
"ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลจังหวัดนนทบุรี ให้จำคุก ร้อยตำรวจโท สุชาติ ศรีสิทธิเวช เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับหมู่ (จราจร) สถานีตำรวจภูธรอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 35 ปี ส่วนดาบตำรวจ สุเทพ ถิ่นโพธิ์วงษ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับหมู่ (จราจร) สถานีตำรวจภูธรย่อยลาดโตนด สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และดาบตำรวจ ปาลรัฐ รัตนะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับหมู่ (จราจร) สถานีตำรวจ ภูธรอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี คนละ 30 ปี ในข้อหาเรียกรับเงินเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการละเว้นไม่จับกุมรถบรรทุกที่ติดสติ๊กเกอร์ ซึ่งบรรทุกของมีน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 ตั้งแต่เดือนพ.ย.2553
โดยศาลจังหวัดนนทบุรี มีคำพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตาม 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาลประกอบมาตรา 91 ให้จำคุก ร้อยตำรวจโท สุชาติ ศรีสิทธิเวช กระทงละ 5 ปี รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 35 ปี ส่วน ดาบตำรวจ สุเทพ ถิ่นโพธิ์วงษ์ และ ดาบตำรวจ ปาลรัฐ รัตนะ กระทงละ 5 ปี รวมคนละ 6กระทง เป็นจำคุกคนละ 30 ปี "
คือ ข้อมูลความคืบหน้าคดีกล่าวหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในหลายพื้นที่ เรียก รับเงินจากผู้ประกอบกิจการขนส่งสินค้า ของ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เปิดเผยออกมาล่าสุด (อ่านประกอบ : ศาลอุทธรณ์ฯ ยืนคุก 3 บิ๊กตร.นนท์ คดีรับส่วยรถบรรทุก-อดีตผบ.หมู่จร.ปากเกร็ด 7 กระทง 35 ปี)
เพื่อให้สาธารณชน ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับที่มาที่ไปคดีนี้ มากขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ย้อนข้อมูลผลการสอบสวนคดีนี้ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ลงมติชี้มูลความผิดในคดีนี้ มานำเสนอเพิ่มเติม
โดยมีรายละเอียดดังนี้
ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2553 ได้มีการลงมติชี้มูลความผิด เรื่องกล่าวหา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในหลายพื้นที่ เรียก รับเงินจากผู้ประกอบกิจการขนส่งสินค้า ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ดำเนินการ ไต่สวนข้อเท็จจริง เรื่องกล่าวหา เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรและสถานีตำรวจนครบาลจำนวนหลายนาย ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เรียก รับเงินจากผู้ประกอบกิจการขนส่งสินค้าโดยรถยนต์บรรทุก เพื่อละเว้นการจับกุมรถยนต์ที่บรรทุกสิ่งของมีน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่กฎหมาย กำหนด รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกในกรณีอื่น ๆ โดยมี นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน นั้น
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวนแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในช่วงประมาณปี 2539 - 2546 การประกอบกิจการขนส่งสินค้า โดยรถยนต์บรรทุกในประเทศไทย ได้มีผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายรวมกลุ่มกันในรูปแบบตามกฎหมาย เช่น สมาคมรถยนต์บรรทุกในภาค หรือจังหวัดต่าง ๆ โดยรายได้ของผู้ประกอบการจะขึ้นอยู่กับการบรรทุกสินค้าของรถยนต์ในแต่ละเที่ยว จึงมีผู้ประกอบการบางรายที่ต้องการมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ได้ใช้วิธีการขนส่งสินค้าโดยพยายามบรรทุกน้ำหนักสินค้าให้เพิ่มมากขึ้นเท่าที่รถยนต์จะสามารถนำไปได้ น้ำหนักที่บรรทุกจึงมากกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ เป็นเหตุให้ถูกตรวจค้น จับกุมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ด่านชั่งน้ำหนักในเส้นทางต่าง ๆ
ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ประกอบการจึงมีการตกลงกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องให้ละเว้นการตรวจค้น จับกุม โดยตกลงให้ผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ จากนั้น จะจัดส่งสติ๊กเกอร์พร้อมจำนวนรถยนต์บรรทุกและหมายเลขทะเบียนรถยนต์บรรทุกที่มีการตกลงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องไว้แล้ว การจ่ายเงินเป็นไปในรูป ของการนำเงินไปส่งให้โดยตรง หรือโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝาก และสติ๊กเกอร์รูปแบบต่าง ๆ จะพิมพ์ด้วยสีสะท้อนแสง (ในเวลากลางคืนเมื่อส่องไฟดูจะสะท้อนแสงเห็นได้ชัดเจน อาจเรียกว่า ป้ายเคลียร์ก็ได้) แล้วนำไปติดที่กระจกหน้ารถยนต์บรรทุก
โดยราคาจำหน่ายสติ๊กเกอร์จะกำหนดเพียงหนึ่งเดือน มีราคา จำหน่ายโดยประมาณ ดังนี้
- สติ๊กเกอร์สำหรับรถยนต์บรรทุก (รถพ่วง) 18 ล้อ ราคาใบละ 4,500 บาท
- สติ๊กเกอร์สำหรับรถยนต์บรรทุก 10 ล้อ ราคาใบละ 3,000 - 3,500 บาท
- สติ๊กเกอร์สำหรับรถยนต์บรรทุก 6 ล้อ ราคาใบละ 2,000 บาท
สำหรับเรื่องกล่าวหานี้สืบเนื่องมาจากกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ดำเนินการสืบสวนสอบสวนในกรณีมีสมาชิกสภาจังหวัดลำปางผู้หนึ่ง ถูกกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย และฟอกเงิน ซึ่งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนแล้วพบว่า นอกจากความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดแล้ว สมาชิกสภาจังหวัดลำปางบุคคลนี้ ยังมีพฤติการณ์ร่วมกันจำหน่ายสติ๊กเกอร์ติดรถยนต์บรรทุกให้กับผู้ประกอบการขนส่งรายอื่น โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดต่าง ๆ ในหลายพื้นที่จำนวนหลายนายมีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้วย โดยมีพยานหลักฐานรายการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นประจำทุกเดือน ในลักษณะค่างวดหรือส่วย กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จึงได้ส่งสำนวน การสอบสวนคดีอาญา โดยร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจและบุคคลที่เกี่ยวข้อง มาให้คณะกรรมการป.ป.ช. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
ซึ่งจากการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวนฟังได้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดต่าง ๆ ในหลายพื้นที่ จำนวน 10 คน ซึ่งปรากฎชื่อ ร้อยตำรวจโท สุชาติ ศรีสิทธิเวช เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับหมู่ (จราจร) สถานีตำรวจภูธรอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี , ดาบตำรวจ สุเทพ ถิ่นโพธิ์วงษ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับหมู่ (จราจร) สถานีตำรวจภูธรย่อยลาดโตนด สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และ ดาบตำรวจ ปาลรัฐ รัตนะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับหมู่ (จราจร) สถานีตำรวจ ภูธรอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี รวมอยู่ด้วย
โดยมีพฤติการณ์ เรียก รับเงินจากผู้ประกอบกิจการขนส่งโดยรถยนต์บรรทุก เพื่อเป็นค่าอำนวยความสะดวกหรือละเว้น การจับกุมรถยนต์บรรทุกหรือรถพ่วง ซึ่งบรรทุกสิ่งของมีน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด หรือกระทำความผิดในกรณีอื่น ๆ โดยพบหลักฐานว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังกล่าวเป็นประจำทุกเดือน ในช่วงปี พ.ศ. 2545 ในลักษณะค่างวดหรือส่วย
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่า การกระทำของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวม 10 คน ดังกล่าว มีมูลเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลเป็นความผิด ทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบ ด้วยหน้าที่ และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 ให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา ในศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 92 และ 97 แล้วแต่กรณี ต่อไป
หลังจากนั้น ผ่านไปประมาณ 7 ปี ศาลจังหวัดนนทบุรี ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ก.ย.2560 ว่า จำเลยทั้ง 3 คือ ร้อยตำรวจโท สุชาติ ศรีสิทธิเวช เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับหมู่ (จราจร) สถานีตำรวจภูธรอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 35 ปี ส่วนดาบตำรวจ สุเทพ ถิ่นโพธิ์วงษ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับหมู่ (จราจร) สถานีตำรวจภูธรย่อยลาดโตนด สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และดาบตำรวจ ปาลรัฐ รัตนะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับหมู่ (จราจร) สถานีตำรวจ ภูธรอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตาม 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาลประกอบมาตรา 91 สั่งจำคุก ร้อยตำรวจโท สุชาติ ศรีสิทธิเวช กระทงละ 5 ปี รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 35 ปี ส่วน ดาบตำรวจ สุเทพ ถิ่นโพธิ์วงษ์ และ ดาบตำรวจ ปาลรัฐ รัตนะ กระทงละ 5 ปี รวมคนละ 6กระทง เป็นจำคุกคนละ 30 ปี
ล่าสุด วันที่ 11 ก.ย.2561 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลจังหวัดนนทบุรี
ทั้งหมดนี่ คือ ข้อมูลที่มาที่ไปของคดีนี้ ส่วนผลการพิจารณาคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดต่าง ๆ ในหลายพื้นที่อีก 7 ราย ที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดด้วย ยังไม่มีการยืนยันข้อมูลเป็นทางการเกี่ยวกับผลการพิจารณาคดีในชั้นศาลว่าเป็นอย่างไร
แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร คดีนี้นับคดีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการรับส่วยครั้งใหญ่ในแวดวงสีกากีของเมืองไทยอีกหนึ่งคดี และน่าจะช่วยเป็นอุทาหรณ์ เตือนใจเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศ ไม่ให้เดินซ้ำรอย คิดคด ทุจริต ประพฤติมิชอบได้เป็นอย่างดี
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/
หมายเหตุ : ภาพประกอบเรื่อง จาก YouTube, ไทยรัฐ ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในเรื่องแต่อย่างใด