พม.โพลชี้ ส่วนใหญ่คนในครอบครัวกระทำความรุ่นแรงต่อผู้สูงอายุ แนะปลูกฝังค่านิยมใหม่
พม.โพลชี้ 52.0% ส่วนใหญ่คนในครอบครัวกระทำความรุ่นแรงต่อผู้สูงอายุ แนะรัฐรัฐบาลส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว ปลูกฝังค่านิยมคุณค่าผู้สูงอายุใหม่
พม. POLL ศูนย์สำรวจความคิดเห็นทางสังคม โดยสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1-12 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง “สร้างสุขผู้สูงวัย ใส่ใจไร้ความรุนแรง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 12-22 ก.พ. 2562 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
จากผลการสำรวจ เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้สูงอายุต้องการจากคนในครอบครัวมากที่สุด พบว่า ร้อยละ 39.21 ระบุว่า ต้องการให้คนในครอบครัวแสดงออกด้วยการดูแล เช่น การดูแลค่าใช้จ่าย การให้เงิน พาไปพบแพทย์ พาไปทำธุระต่าง ๆ รองลงมา ร้อยละ 38.21 ระบุว่า ต้องการให้คนในครอบครัวแสดงออกทางคำพูด เช่น การบอกรัก การทักทาย การถามสารทุกข์สุกดิบ ร้อยละ 22.06 ระบุว่า ต้องการให้คนในครอบครัวแสดงออกด้วยการสัมผัส เช่น การกอด หอม จูงมือ บีบนวดคลายความปวดเมื่อย ร้อยละ 0.23 ระบุอื่น ๆ เช่น การเอาใจใส่ การให้ความสำคัญ ต้องการให้เชื่อฟัง และร้อยละ 0.29 ไม่แสดงความคิดเห็น ตามลำดับ
เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องความสุขของผู้สูงอายุเป็นเรื่องใด พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ร้อยละ 56.85 ระบุว่า เป็นความสุขทางจิตใจ อารมณ์ เช่น การได้รับการดูแลเอาใจใส่จากลูกหลาน การทำงานอดิเรก (ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ อ่านหนังสือ ฯลฯ) การไปวัดหรือโบสถ์เพื่อฟังธรรม หรือสนทนาธรรม รองลงมา ร้อยละ 25.48 ระบุว่า ทางร่างกาย เช่น การมีสุขภาพดี ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ร้อยละ 9.88 ระบุว่า ทางสังคม เช่น การทำประโยชน์ให้กับสังคม จิตอาสา ทำกิจกรรมในชุมชน ร่วมกิจกรรมของชมรมผู้สูงอายุ การถ่ายทอดภูมิปัญญา การได้รับการยอมรับจากชุมชน/สังคม ร้อยละ 7.67 ระบุว่า ทางการเงิน เช่น การมีเงินหรือทรัพย์สมบัติสำหรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ความคิดเห็นในประเด็นความรุนแรงในผู้สูงอายุ
สำหรับความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องการกระทำความรุนแรงในผู้สูงอายุ พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ร้อยละ 35.04 ระบุว่า เป็นการทำร้ายจิตใจ (เช่น วาจา ด่าทอ ท่าทาง สายตา สีหน้า ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ อับอาย เป็นต้น) รองลงมา ร้อยละ 30.98 ระบุว่า การถูกทอดทิ้ง ขาดผู้ดูแล ร้อยละ 23.46 ระบุว่า การทำร้ายร่างกาย (เช่น ทะเลาะวิวาท การทุบ ตี ต่อย เตะ เป็นต้น) ร้อยละ 8.13 ระบุว่า การทำร้ายทางเพศ (เช่น การทารุณทางเพศ การคุกคามทางเพศ การบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ การล่วงละเมิดทางเพศ)
ในส่วนของสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงอายุถูกกระทำความรุนแรงมากที่สุด อันดับ 1 ร้อยละ 24.79 ระบุว่า ผู้สูงอายุอยู่ตามลำพัง อันดับ 2 ร้อยละ 23.06 ระบุว่า ผู้สูงอายุช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เนื่องจากความเจ็บป่วยและความพิการ อันดับ 3 ร้อยละ 13.56 ระบุว่า ผู้ดูแลรู้สึกว่าผู้สูงอายุเป็นภาระ
เมื่อถามถึงสิ่งที่ประชาชนจะทำ หากพบเห็นเหตุการณ์ความรุนแรงในผู้สูงอายุ พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ร้อยละ 70.33 ระบุว่า แจ้งเหตุ โดยแจ้งผ่านบุคคล/ช่องทางต่าง ๆ ดังนี้ ร้อยละ 40.28 แจ้งผ่านผู้ใหญ่บ้าน/กำนัน/ผู้นำชุมชน/ผู้นำท้องถิ่น รองลงมา ร้อยละ 27.19 แจ้งผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ร้อยละ 13.45 แจ้งสายด่วน 191 แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย ร้อยละ 12.09 แจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 ร้อยละ 2.16 แจ้งสายด่วน 1669 หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ศูนย์นเรนทร ร้อยละ 1.78 แจ้งสายด่วน 1567 ศูนย์ดำรงธรรม ร้อยละ 1.39 แจ้งมูลนิธิต่าง ๆ ร้อยละ 1.24 แจ้งศูนย์พึ่งได้ กระทรวงสาธารณสุข และร้อยละ 0.41 ระบุอื่น ๆ เช่น ญาติของผู้สูงอายุ เพื่อนบ้าน รองลงมา ร้อยละ 26.40 ระบุว่า เข้าไปช่วยเหลือ ร้อยละ 1.28 ระบุว่า ถ่ายรูป/คลิป/ไลฟ์สด ร้อยละ 0.98 ระบุว่า เพิกเฉย/ไม่สนใจ ร้อยละ 0.90 ระบุว่า หลีกเลี่ยง (กลัวโดนลูกหลง)
ในส่วนของแนวทางในการป้องกันและแก้ปัญหาความรุนแรงในผู้สูงอายุ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 40.96 ระบุว่า ต้องการให้รัฐบาลส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว/อบรมสั่งสอน รองลงมา ร้อยละ 38.88 ระบุว่า ส่งเสริมการสร้างทัศนคติให้เห็นคุณค่าของผู้สูงอายุ (เช่น ความกตัญญู เอื้ออาทร การช่วยเหลือเกื้อกูล) ร้อยละ 35.77 ระบุว่า ส่งเสริมให้ครอบครัวเป็นแบบอย่างที่ดีในการไม่ใช้ความรุนแรง ร้อยละ 32.75 ระบุว่า ส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาปลูกฝังทัศนคติไม่ใช้ความรุนแรง ตั้งแต่เด็ก ร้อยละ 24.92 ระบุว่า การบังคับใช้กฎหมาย (มีบทลงโทษที่เด็ดขาด)
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการใช้เทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์ สื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น มีผลต่อผู้สูงอายุอย่างไร พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่คิดว่ามีทั้งผลดีและผลเสีย โดยร้อยละ 98.17 ระบุว่า มีผลดี โดยมีเหตุผลดังนี้ ร้อยละ 69.93 ช่วยให้ผู้สูงอายุติดต่อกับลูกหลานได้ง่ายและสะดวกขึ้น ร้อยละ 11.50 สามารถติดตามข่าวสารทั่วไปได้สะดวกรวดเร็ว ร้อยละ 8.64 ทำให้เพลิดเพลิน/ไม่เหงา ร้อยละ 5.88 ช่วยให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มีสังคม และร้อยละ 4.05 ทำให้เป็นคนทันสมัย ลดช่องว่างระหว่างวัย และคิดว่าเป็นผลเสีย ร้อยละ 97.06 โดยมีเหตุผลดังนี้ ร้อยละ 55.61 คิดว่าอาจจะถูกหลอกลวงโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ รองลงมา ร้อยละ 16.23 เสียสุขภาพ (เสียสายตา นิ้วล๊อค ปวดคอ บ่า ไหล่) ร้อยละ 12.28 เสียค่าใช้จ่าย ร้อยละ 6.18 เสียสุขภาพจิต เกิดความเครียด ร้อยละ 5.62 เสียสัมพันธภาพในครอบครัว ร้อยละ 2.58 เสียเวลา เสียงาน และร้อยละ 1.50 อาจจะเกิดอุบัติเหตุ