บิ๊กกสิกรไทยจี้การเมืองยุติขัดแย้ง จัดตั้งรัฐบาลใหม่เดินหน้าบริหารประเทศ
บัณฑูร ล่ำซำ บิ๊กกสิกรฯชี้เศรษฐกิจไทยชะลอตามเศรษฐกิจโลก หวังตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จใน มิ.ย. หลังเสร็จสิ้นพิธีมหามงคลฯ วอนทุกฝ่ายผ่อนปรนยุติความขัดแย้ง เพื่อให้มีผู้บริหารจัดการประเทศ ขณะที่มองสินเชื่อแบงก์ไตรมาสแรกต่ำกว่าเป้า คาดครึ่งปีหลังดีดกลับ
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยปัจจุบันก็มีแนวโน้มชะลอลงคงก็เหมือนกันทั่วโลก ซึ่งคนทำธุรกิจก็ต้องปรับตัวปรับผลิตภัณฑ์ให้แข่งขันกับคนอื่นได้ ไม่เช่นนั้นก็ทำธุรกิจไม่ได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ในบริบทที่การเมืองเรียบร้อยพอสมควร หลังจากการเลือกตั้งก็ต้องมีการบริหารจัดการประเทศ
อย่างไรก็ดี ที่เป็นอยู่ขณะนี้แต่ละวันก็มีการสาดเสียเทเสียใส่กัน ได้แต่หวังว่าภายหลังน่าจะตกลงกันได้ หากรัฐไม่ดำเนินการ ไม่มีกรอบ ประชาชนคงไม่สามารถทำอะไรได้ หากมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ประชาชนก็สามารถทำอะไรต่อไปได้ ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงมหามงคล จึงก็ต้องให้พิธีการนี้ผ่านให้เรียบร้อยก่อน หลังจากก็ควรจะเจรจาและปูพื้นกันได้เรียบร้อยแล้วภายในเดือนมิถุนายน
"เศรษฐกิจไทยปีนี้ ก็ชะลอลงเหมือนกับโลกที่เป็น เราก็จะต้องทำธุรกิจกันไป ธนาคารปล่อยกู้กันไป ต้องปรับตัวเหมือนกันทั่วโลก แต่ต้องในบริบทการเมืองที่เรียบร้อยพอสมควรไม่ใช่ราวีกันหาเรืองกันอยู่อย่างนี้ แต่ก็น่าจะตกลงกันได้ เชื่อว่าประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง "
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในด้านของการดำเนินธุรกิจของธนาคารในปีนี้ โดยการปล่อยสินเชื่อนั้นได้มีการตั้งเป้ามหมายในระดับที่สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ 5-7% เป็นสินเชื่อรายใหญ่เติบโต 3-5% สินเชื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเติบโต 2-4% และสินเชื่อรายย่อยเติบโต 9-12% ซึ่งแนวทางในการธุรกิจของธนาคารก็คงมีแนวโน้มในทิศทางเดียวกันกับที่อื่นก็คือรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลงจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ดังนั้น จึงต้องพยายามที่จะเพิ่มช่องทางที่จะปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น ไปพร้อมๆกับมีการพิจารณาสินเชื่อที่ดีเพื่อไม่ให้เกิดสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ซึ่งผลกระทบจากการเข้ามาของเทคโนโลยีนี้ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายของธนาคาร แต่ก็เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
สำหรับสินเชื่อของธนาคารในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ชะลอตัวลงตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่ คือเป็นช่วงฤดูกาลที่ธุรกิจยังไม่ค่อยใช้เงินลงทุน และอยู่ระหว่างรอดูสถานการณ์ทางการเมืองหลังจากการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรกหลังจากที่ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว โดยธนาคารยังคงเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อรวมปีนี้ที่ระดับ 5-7% แม้ว่าจะมีการปรับลดประมาณจีดีพีลงเหลือ 3.7% จากเดิม 4.0% เนื่องจากสินเชื่อของธนาคารมาจากทั้งในและต่างประเทศที่ยังพอที่จะเห็นการเติบโตได้
ส่วนการจัดตั้่ง Banking Agent ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรอีกหลายรายเพื่อเพิ่มจำนวน Banking Agent จากขณะนี้ที่มีเพียงบริษัท ไปรษณีย์ไทยเพียงแห่งเดียว คาดว่าภายในครึ่งปีแรกจะเห็นความคืบหน้ามากขึ้น ขณะที่แผนงานด้านสาขานั้น ในปีนี้ธนาคารมีแผนที่จะปรับลดสาขา 80 สาขา เพิ่มสาขา 30 สาขา โดยจะเป็นการเพิ่มสาขารูปแบบใหม่ๆที่ตอบสนองกับการเปลี่ยนไปของพฤติกรรมลูกค้ามากขึ้น
ที่มาข่าว:https://mgronline.com/stockmarket/detail/9620000033610