ความหวังของคนขายเรือนร่างกับการเปิดกว้างให้อาชีพถูก กม. (คลิป)
การค้าประเวณีในประเทศไทยยังเป็นสิ่งขัดต่อจริยธรรมและกฎหมาย ทำให้ผู้ที่ยึดอาชีพขายบริการทางเพศต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อย่างเช่น 'ตรอกสาเก' ซึ่งสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ลงพื้นที่ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม มีความคิดเห็นจากผู้ที่ทำงานขับเคลื่อนดูเเลคนกลุ่มนี้ต่างออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ควรผลักดันให้ถูกกฎหมาย เพื่อให้ได้รับสวัสดิการเหมือนทุกอาชีพ
การขายบริการทางเพศ หรือพนักงานขายบริการอิสระ ยังไม่ถูกยอมรับเป็นอาชีพถูกกฎหมายในไทย เพราะถูกมองเป็นสิ่งขัดต่อศีลธรรม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลับพบว่า ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ มีผู้ยึดอาชีพดังกล่าวจำนวนมาก ทั้งหญิงและชาย วัยรุ่นถึงวัยสูงอายุ อย่างเช่น ‘ตรอกสาเก’ ตั้งอยู่ริมคลองหลอด
‘อัจฉรา สรวารี’ เลขาธิการมูลนิธิอิสรชน เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีพนักงานขายบริการอิสระ ไม่สังกัดอาบ อบ นวดยึดหัวหาดย่านสนามหลวง คลองหลอด ตรอกสาเก วนเวียนใหญ่ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทั้งชายและหญิงตลอด 24 ชั่วโมง ประมาณ 800 คนต่อวัน ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของการหันเข้าสู่อาชีพขายเรือนร่างนี้มาจากปัญหาปากท้องเป็นหลัก
“ไทยเป็นสังคมเดี่ยวมากขึ้น คนแก่ชราตัวคนเดียวไม่มีครอบครัวต้องหาเลี้ยงตัวเอง เบี้ยยังชีพ 600 บาท จากสวัสดิการผู้สูงอายุยังไม่เพียงพอ ในเมื่อปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ จึงต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง พออายุ 40 ปีขึ้น ไปทำงานอื่นก็ไม่ตอบโจทย์ เพราะบริษัทหรือโรงงานไม่รับ ทำให้ตกงาน เลยต้องหันเหเข้าสู่อาชีพนี้”
ขณะที่หลายประเทศทั่วโลก เลขาธิการมูลนิธิอิสรชน ให้ข้อมูลว่า ผลักดันให้การขายบริการทางเพศถูกต้องตามกฎหมาย ที่มีการจัดโซนชัดเจน และมีการลงทะเบียน แม้ไทยไม่ได้เรียกร้องให้เหมือนเยอรมันขนาดนั้น แต่ไม่ต้องผิดกฎหมายได้หรือไม่
“ที่ผ่านมา อาชีพนี้ถูกตีตราด้วยศาสนา วัฒนธรรม ในสังคมอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่า คุณยิ่งปิด เราเป็นอันดับ 1 ของเซ็กส์ทัวร์ระดับโลก เพราะฉะนั้นยิ่งปิด ปัญหายิ่งเปิด แต่หากมาแก้ปัญหา โดยควรเข้าสู่สวัสดิการ ควบคุมโรคได้ จะทำให้คนเหล่านี้มีความปลอดภัย และมีสวัสดิการดูแล”
พร้อมกับเน้นย้ำว่า เราอยากให้มองว่าเป็นอาชีพหนึ่งที่ควรได้รับสวัสดิการเหมือนทุกอาชีพ เสียภาษีอย่างถูกต้อง ไม่ต้องเสียส่วยหรือใต้ดินใด ๆ เพื่อจะได้ดูแลคุณภาพชีวิต เช่นการเข้าถึงการตรวจโรคต่าง ๆ
ด้าน ‘สุรางค์ จันทร์แย้ม’ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ SWING กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยก็มีกฎหมายค้าประเวณี ฉบับล่าสุดปี 2539 อันมีไว้ควบคุม กำกับ คนที่ทำงานบริการ แต่ไม่ได้ควบคุมสถานบริการ ในประเทศไทย เพียงอายุเกิน 20 ปี ก็สามารถเปิดสถานบริการถูกต้องตามกฎหมายได้ ขณะเดียวกันคนที่ทำงานอยู่ในสถานบริการนั้นยังทำผิดกฎหมายอยู่ ซึ่งกฎหมายนี้ยังมีข้อย้อนแย้งกัน
“สำหรับบ้านเรายากเหลือเกิน แค่จะทำโซนนิ่งที่อนุญาตขายบริการได้ไม่ว่าจะอยู่ในร้านหรือว่าอยู่นอกร้าน ก็มีเสียงคัดค้านเป็นจำนวนมาก” สุรางค์ กล่าว และแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องความเป็นไปได้ในกฎหมายฯ ที่หลายคนบอกว่า บ้านเราเป็นเมืองพุทธ เดี๋ยวจะยิ่งทำให้คนมาค้าประเวณีเยอะขึ้น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกันเลย
“ไทยแก้ปัญหาไม่ถูกที่ เพราะสาเหตุที่คนทำงานนี้ ทั้งในร้านหรือเป็น sex workers บนถนน ต่างประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงต้องการมีงานทำและรายได้”
เธอมองว่า การแก้ไขปัญหาที่เป็นอยู่ โดยใช้กฎหมายมาจับ ปราบปราม ไม่ได้ทำให้คนเหล่านี้มีอาชีพมีรายได้ แต่เมื่อจะทำให้ถูกกฎหมายก็ไม่ได้อีก”
ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ SWING กล่าวต่อว่า สิ่งที่พยายามขับเคลื่อนกันขณะนี้คือ คนที่ทำงานดังกล่าว ควรได้รับการยอมรับว่าเป็นลูกจ้างของสถานบริการ ยังยืนยันเช่นเดิมว่าพวกเขาคือแรงงานประเภทหนึ่ง ควรจะได้รับความคุ้มครอง ซึ่งหากทำให้อาชีพนี้ถูกกฎหมายจะทำให้ปัญหาการทำร้าย การเอาเปรียบ การรังแก ในตัวพนักงานบริการลดน้อยลง และตัวพนักงานบริการเองก็จะมีรายได้ที่ไม่ต้องถูกรีดไถแล้วก็จะสามารถมีชีวิตที่ดีและออกไปจากอาชีพนี้ได้
“พวกเขาก็เหมือนทุกคน ต้องได้รับสิทธิสวัสดิการของรัฐ เช่น การรักษา สิทธิด้านสุขภาพ และสิทธิด้านการศึกษาเหมือนกับคนอื่น เพียงแต่ว่าอาชีพที่ประกอบแตกต่างกันเท่านั้น พวกเขาเสียภาษี แม้ไม่ใช่ภาษีทางตรง เพราะไม่ได้ถูกลงทะเบียนเป็นลูกจ้าง แต่ก็เสียภาษีทางอ้อมมากมาย เพราะฉะนั้นควรได้รับสิทธิและสวัสดิการด้านการคุ้มครองเหมือนคนอื่น”
นอกจากนี้ ควรจะต้องมีการจัดสรรงบประมาณมาพัฒนาศักยภาพพนักงานขายบริการเหล่านี้ เพื่อให้เขามีศักยภาพ สามารถหลุดพ้นออกไปจากอาชีพดังกล่าวได้ ด้วยการนำทักษะเหล่านั้นไปประกอบอาชีพอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้จะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้
...เราอาจจะสร้างความเข้าใจของสังคมใหม่ ซึ่งที่ผ่านมามีการดูถูกและรังเกียจอาชีพนี้มาอย่างยาวนาน ถึงเวลาแล้วที่คนในสังคมอาจจะต้องมองอย่างเปิดใจอีกครั้งหนึ่ง .
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/