ธปท.พร้อมช่วยผู้ประกอบการรับมือความผันผวน ศก.-ค่าเงิน ปี 62
ธปท.เห็นพ้องการค้าโลกปี 62 จะท้าทาย ต้องร่วมมือช่วยผู้ประกอบการรับมือความผันผวนเศรษฐกิจ-ค่าเงิน
ดร.วชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ( สรท.) และ ธปท.ได้หารือร่วมกันถึงทิศทางการค้าโลก การส่งออกของไทยและค่าเงิน โดยเห็นร่วมกันว่าบรรยากาศการค้าโลกในปีนี้โดยรวมเศรษฐกิจโลกจะท้าทายมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน และโจทย์สำคัญ คือ ผู้ประกอบการจะสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดการเงินโลกได้อย่างไร
สำหรับการส่งออกของไทยที่ชะลอลงในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะบรรยากาศการค้าโลก (global trade) การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า รวมทั้ง การปรับลด inventory ของผู้ประกอบการจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการส่งออกของประเทศอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มชะลอลง เช่น การส่งออกของสิงคโปร์ที่ติดลบมากกว่า 10% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
ขณะที่การส่งออกในบางอุตสาหกรรม เช่น ภาคอิเล็กทรอนิกส์ ที่ชะลอลง เป็นผลจาก trade war ที่ผลกระทบเริ่มชัดเจนมากขึ้น และแนวโน้มการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้าจะขึ้นอยู่กับบรรยากาศของการค้าระหว่างประเทศ และอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าเป็นหลัก ขณะที่ผลกระทบของค่าเงินต่อการส่งออกมีไม่มาก และความสัมพันธ์ของสองเรื่องนี้ไม่ชัดเจน ดังที่เห็นได้จากการส่งออกของประเทศเพื่อนบ้านที่ชะลอลง แม้ค่าเงินของเค้าจะไม่ได้แข็งค่าเท่าเงินบาท
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2562 เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นประมาณร้อยละ 2.3 เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ.และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเป็นสำคัญ ในขณะที่เงินลงทุนในหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติไม่ได้ทำให้เงินบาทแข็งค่า ดังที่เห็นจากตัวเลขส่วนนี้ว่าเป็นการไหลออกสุทธิ
ภาพรวมเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับสกุลเงินของประเทศ emerging markets และประเทศเพื่อนบ้าน โดยการแข็งค่าและความผันผวนของเงินบาทอยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น
ในบางช่วงที่เงินบาทแข็งค่าเร็วในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ ธปท. ได้เข้าดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เวลากับเอกชนในการปรับตัว ในระยะข้างหน้า ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนเคลื่อนไหวได้ 2 ทาง ตามความผันผวนของเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก ดังนั้น ภาคเอกชนควรพิจารณาป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนทั้ง 2 ด้าน อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งทำได้หลายวิธี
เริ่มจากการเลือกกำหนดราคาสินค้า (invoicing) ในรูปเงินบาทหรือเงินสกุลคู่ค้า แทนการใช้เงินดอลลาร์ สรอ. ซึ่งที่ผ่านมาผันผวนมาก ส่วนหนึ่งจากนโยบายในเรื่องสำคัญเช่น trade war ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการไทยยังเลือกกำหนดราคาในรูปดอลลาร์ สรอ. เกือบ 80% แม้จะค้าขายกับผู้ประกอบการสหรัฐฯเพียง 10% กว่าเท่านั้นเอง
สำหรับผู้ประกอบการที่ในอนาคตมีภาระต้องชำระเงินในสกุลต่างประเทศ ก็อาจฝากเงินไว้ในรูปเงินตราต่างประเทศ (FCD) เพื่อลดผลกระทบจากการผันผวนของค่าเงิน ซึ่งปัจจุบัน ธปท. ได้เผยแพร่อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม FCD บนเว็บไซต์ ธปท. เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม FCD ระหว่างธนาคารได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลจากการที่ สรท. ได้เข้าหารือกับ ธปท. ในการหารือครั้งที่ผ่านมา
ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินป้องกันความเสี่ยง เช่น การซื้อ options ปัจจุบันภาครัฐมีโครงการ FX Options ระยะที่ 2 เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถซื้อ options หรือ lock rate เพื่อประกันความเสี่ยง โดยโครงการในระยะที่ 2 ได้ขยายวงเงินค่าธรรมเนียมที่ภาครัฐสนับสนุน จาก 30,000 บาทเป็น 50,000 บาทต่อราย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถล๊อคเรทมูลค่าประมาณ 1.5 แสน ดอลลาร์ สรอ. หรือประมาณ 4.75 ล้านล้านบาท โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จึงอยากจะประชาสัมพันธ์โครงการนี้
ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการใช้เครื่องมือได้หลากหลาย. ธปท. ได้ผลักดันให้มีการเปิดเผยราคา forward บนเว็บไซต์ ธปท. เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและให้ผู้ประกอบการสามารถใช้เป็นราคาอ้างอิง ในการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว และ สนับสนุนการต่อรองราคาได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการทำธุรกรรม FX ธปท. ได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงิน เช่น ลดขั้นตอนและเอกสารประกอบการทำธุรกรรม FX รวมถึงการอนุญาตให้นักลงทุนไทยที่มีสินทรัพย์ทางการเงินตั้งแต่ 50 ล้านบาท สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางในไทย ในวงเงิน 1 ล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อปี และภาคเอกชนที่ต้องการความสะดวกในเรื่องการทำธุรกรรม FX สามารถสมัครเป็น Qualified companies (QC) ได้ ซึ่งจะทำให้คล่องตัวขึ้นในเรื่องการแสดงเอกสารหลักฐาน
สุดท้ายนี้ ในจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์นำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อยกระดับผลิตภาพ ลดต้นทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทย และจะช่วยให้มีอำนาจในการกำหนดราคา (pricing power) ได้ดีขึ้นในระยะยาว
สรท.และ ธปท. เห็นร่วมกันว่า ท้ายที่สุดในระยะยาวไม่มีใครสามารถกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนได้ เพราะ เรื่องนี้เป็นผลจากปัจจัยภายนอกประเทศที่ควบคุมไม่ได้เป็นสำคัญ แต่โจทย์ที่อาจจะสำคัญมากกว่าและต้องร่วมมือกัน คือ การช่วยผู้ประกอบการไทยให้สามารถปรับตัวและรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นเรื่องที่จะอยู่กับเราอีกนาน
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/