จับตาดีลยักษ์ 'แอร์เอเชีย' ซื้อ 'นกแอร์' หวั่นเกิดการผูกขาดบินต้นทุนต่ำ
สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จับตาดีลยักษ์ “แอร์เอเชีย” ซื้อหุ้น “นกแอร์” เผยมีแนวทางพิจารณา 2 แนวทาง ต้องขออนุญาตก่อนการรวมธุรกิจ หรือร่วมธุรกิจแล้วต้องแจ้งภายใน 7 วัน ชี้ถือเป็นการรวมธุรกิจภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า หากมีผลทำให้เกิดการผูกขาดหรือเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด จะต้องขออนุญาตก่อน
นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ กรรมการการแข่งขันทางการค้า และโฆษกคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) ได้เฝ้าระวังและจับตาดูกรณีบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินไทยแอร์เอเซีย (AAV) จะเข้าซื้อหุ้นของบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินนกแอร์ (NOK) จากกลุ่มจุฬางกูรอย่างใกล้ชิด เพราะหากมีการดำเนินการซื้อหุ้นจริงอย่างที่เป็นข่าวจริงจะถือว่าเป็นการรวมธุรกิจภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจจะต้องปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณาการเข้าซื้อสินทรัพย์หรือหุ้นเพื่อควบคุมนโยบายการบริหารธุรกิจ การอำนวยการ หรือการจัดการที่เป็นการรวมธุรกิจ พ.ศ. 2561
โดยกรณีดังกล่าวมีแนวทางการพิจารณาแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 ต้องขออนุญาตก่อนการรวมธุรกิจ โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ทั้ง 2 บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดสายการบินต้นทุนต่ำ (Low-cost) ภายในประเทศเป็น 2 ลำดับแรก อีกทั้งยังเป็นการรวมธุรกิจแบบแนวนอน (Horizontal Merger) หรือการรวมธุรกิจ ในตลาดสินค้าหรือบริการเดียวกัน หากปรากฏว่าโครงสร้างตลาดหลังรวมธุรกิจทำให้แอร์เอเชียมีส่วนแบ่งตลาดเกินกว่า 50% และมียอดเงินขายตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จะเข้าข่ายการรวมธุรกิจที่มีอำนาจเหนือตลาด กรณีนี้ต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า และต้องได้รับการอนุญาตก่อนการรวมธุรกิจ จึงจะสามารถดำเนินการรวมธุรกิจต่อไปได้
ส่วนกรณีที่ 2 การรวมธุรกิจที่ต้องแจ้งผลการรวมธุรกิจหลังจากรวมธุรกิจแล้วภายใน 7 วัน โดยกรณีนี้จะใช้ยอดเงินขายเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา หากผู้ประกอบธุรกิจรายใดรายหนึ่งที่มียอดเงินขายตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ดำเนินการรวมธุรกิจ ซึ่งการที่แอร์เอเชียเข้าซื้อหุ้นจากกลุ่มจุฬางกูร ในสัดส่วนการซื้อหุ้นมากกว่า 25% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของนกแอร์ เพื่อควบคุมนโยบาย การบริหารธุรกิจ การอำนวยการ หรือการจัดการ แต่ไม่เป็นการผูกขาดหรือมีอำนาจเหนือตลาด จะเข้าข่าย “การรวมธุรกิจอันอาจก่อให้เกิดการลดการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญ” กรณีนี้สามารถแจ้งผลการรวมธุรกิจให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าทราบ ภายใน 7 วัน หลังรวมธุรกิจเรียบร้อยแล้วได้
“ได้สั่งการให้สำนักงานฯ เฝ้าระวัง และจับตาดูกรณีการรวมธุรกิจของสายการบินดังกล่าวข้างต้นอย่างใกล้ชิด และหากตรวจพบพฤติกรรมที่เข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายการแข่งขันทางค้า จะดำเนินการลงโทษตามกฎหมายอย่างจริงจังและเคร่งครัดโดยทันที เพราะหากการรวมธุรกิจแล้วทำให้เกิดการผูกขาดหรือเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด ต้องได้รับการอนุญาตจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าก่อน หากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 0.5% ของมูลค่าธุรกรรมในการรวมธุรกิจ และการรวมธุรกิจที่อาจส่งผลลดการแข่งขัน มีโทษปรับในอัตราไม่เกิน 2 แสนบาท และปรับรายวันในอัตราไม่เกิน 1 หมื่นบาท/วัน ตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนตามกฎหมายอยู่” นายสันติชัยกล่าว
ที่มาข่าว:https://m.mgronline.com/business/detail/9620000020717