เปิดบทวิเคราะห์บลูมเบิร์ก บทบาทภาคสตรีในการเมืองไทย รัฐสภาเป็นที่โดดเดี่ยวสำหรับ 'ผู้หญิง'
"...บทบาทของผู้หญิงที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของครอบครัวในประเทศไทยนั้นถือว่าแตกต่างจากในเกาหลีใต้หรือในญี่ปุ่น ที่ผู้หญิงส่วนมากมักจะมุ่งเน้นไปที่งานบ้านโดยทำงานบริษัทในสัดส่วนที่น้อยกว่า แต่ว่าผู้หญิงในประเทศไทยนั้นมีโอกาสมากในการก้าวเข้าไปถึงตำแหน่งบริหารทางธุรกิจ เพราะลักษณะทางวัฒนธรรมนั้นเอื้อให้ผู้หญิงสามารถทำงานควบคู่ไปกับผู้ชายได้ แต่ในทางกลับกันผู้หญิงในแวดวงการเมืองนั้นจำต้องได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมือง เพื่อที่จะเข้าไปสู่ในแวดวงการเมืองที่ผู้ชายเป็นใหญ่ได้เสียก่อน อย่างเช่นกรณีสมาชิก สนช.นั้นก็พบข้อมูลว่าทหารซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนในการสนับสนุนการจัดตั้งสมาชิก สนช. ได้ให้การสนับสนุนผู้หญิงแค่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น..."
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักข่าว Bloomberg ชื่อดังของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคสตรีในการเมืองไทย โดยเฉพาะกับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในวันที่ 24 มี.ค. 2562 นี้
โดยสำนักข่าวBloomberg ได้รายงานว่า ในวงการธุรกิจของประเทศไทยนั้นบทบาทของผู้หญิงที่ไต่ไปถึงระดับผู้นำองค์กรนั้นถือได้ว่ามากกว่าประเทศอื่นๆในทวีปเอเชีย และยังแสดงสัญญาณที่ดีในระดับโลก
แต่อย่างไรก็ตาม ในทางการเมืองกลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะจากการจัดอันดับขององค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติเมื่อปี 2560 พบข้อมูลว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 181 จาก 193 ประเทศทั่วโลกในด้านของจำนวนผู้หญิงที่ได้เข้าไปนั่งเป็นสมาชิกรัฐสภา
โดยในปัจจุบันนั้นมีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 13 คนเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง จากจำนวนสมาชิก สนช.ทั้งหมด 240 คน
ทั้งนี้ การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในเดือน มี.ค.นี้ ก็เป็นอีกสิ่งที่เน้นย้ำว่าขาดการมีส่วนร่วมของผู้หญิงที่จะเข้ามาเพื่อพัฒนาในกระบวนการทางการเมือง โดยจากข้อมูลพบว่าแคนดิเดตนายกรัฐนตรี ทั้ง 68 คงจาก 44 พรรคการเมืองทั่วประเทศนั้นมีเพียงแค่ 8 คนเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง
เบื้องต้น จากการสอบถามผู้หญิงในระดับผู้นำที่อยู่ทั้งในวงการอสังหาริมทรัพย์ คมนาคม ธุรกิจโรงงาน ได้รับทราบว่า สาเหตุที่ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการให้ผู้หญิงเข้าไปมีบทบาทในบริษัท มาจากวัฒนธรรมการให้ผู้หญิงทำงานในธุรกิจครอบครัว การให้ผู้หญิงทำงานนอกบ้าน และโอกาสที่ผู้หญิงสามารถเข้าถึงการศึกษาก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน โดยมีผู้หญิงจำนวนถึง 1.41 เปอร์เซ็นต์ที่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากหลักฐานเชิงสถิติจากบริษัทที้คำปรึกษาอย่างบริษัท Grant Thornton และข้อมูลจากการประชุม World Economic Forum’s Global Gap ประกอบกัน
นางจุรี วิจิตรวาทการ นักวิชาการคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ให้ความเห็นว่า “ในอดีตนั้นผู้ชายจะเป็นกลุ่มที่ทำงานนอกบ้าน ขณะที่ผู้หญิงจะทำหน้าที่รับผิดชอบงานบ้านต่างๆ และอาจจะเอาของไปขายในตลาด ซึ่งบทบาทเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกยิดติดไว้แล้วโดยเพศสภาพ”
ทั้งนี้ บทบาทของผู้หญิงที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของครอบครัวในประเทศไทยนั้นถือว่าแตกต่างจากในเกาหลีใต้หรือในญี่ปุ่น ที่ผู้หญิงส่วนมากมักจะมุ่งเน้นไปที่งานบ้านโดยทำงานบริษัทในสัดส่วนที่น้อยกว่า แต่ว่าผู้หญิงในประเทศไทยนั้นมีโอกาสมากในการก้าวเข้าไปถึงตำแหน่งบริหารทางธุรกิจ เพราะลักษณะทางวัฒนธรรมนั้นเอื้อให้ผู้หญิงสามารถทำงานควบคู่ไปกับผู้ชายได้ แต่ในทางกลับกันผู้หญิงในแวดวงการเมืองนั้นจำต้องได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมือง เพื่อที่จะเข้าไปสู่ในแวดวงการเมืองที่ผู้ชายเป็นใหญ่ได้เสียก่อน อย่างเช่นกรณีสมาชิก สนช.นั้นก็พบข้อมูลว่าทหารซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนในการสนับสนุนการจัดตั้งสมาชิก สนช. ได้ให้การสนับสนุนผู้หญิงแค่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ในส่วนของการเมืองนั้น นางจุรี ระบุว่า เป็นกระบวนการที่มีความแตกต่างกันออกไป เนื่องจากโครงสร้างทางพรรคการเมืองของประเทศไทย นโยบายด้านการเมืองของประเทศที่ผ่านมาถือเป็นสิ่งที่ผู้ชายได้กำหนดมาโดยตลอด แตกต่างจากธุรกิจที่ผู้หญิงนั้นจะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการก่อตั้งด้วย
ดังนั้น ต้องยอมรับกันว่า รัฐสภาถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่โดดเดี่ยวสำหรับผู้หญิงเป็นอย่างมาก ขณะที่ผู้ชายจะมีความสามารถในการจัดตั้งกลุ่มทางการเมืองในรัฐสภาได้ดีกว่า
ขณะที่ นางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานฝ่ายบริหารบริษัท One Origin ได้เล่าถึงประสบการณ์การทำงานของตัวเองว่า ในฐานะผู้หญิง การทำงานนั้นเป็นเรื่องที่กดดันเป็นอย่างมาก เพราะความกังวลว่าบอร์ดบริหารจะเลือกผู้บริหารที่เป็นผู้ชายให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายบริหารเสียมากกว่าผู้หญิง ดังนั้น จึงจำเป็นที่ผู้หญิงจะต้องแสดงศักยภาพออกมาให้เห็นว่ามีความสามารถพอ
ส่วน นาง Anna-Karin Jatfors ผู้อำนาจการด้านองค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ระบุว่า ปัจจัยหนึ่งที่ผู้หญิงประสบความสำเร็จในแวดวงธุรกิจได้ก็เนื่องมาจากพวกเขาได้อยู่ในแวดวงการทำงานแม้กระทั่งหลังจากที่มีลูกแล้ว แตกต่างจากในบางประเทศที่ผู้หญิงจะมีส่วนร่วมในการทำงานน้อยลงหลังจากมีลูก
เนื่องจากโครงสร้างครอบครัวคนไทยนั้นมีความเป็นครอบครัวหมู่ โดยมีปู่ย่าตายายที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน และมันจะช่วยเหลือครอบครัวในเรื่องของานบ้านทั่วๆไป ทำให้ผู้หญิงนั้นสามารถจะอยู่ในกลุ่มของผู้ใช้แรงงานได้ หรือสรุปก็คือผู้หญิงสามารถที่จะสร้างสุดสมดุลระหว่างครอบครัว และหน้าที่การงาน ได้ภายใต้ระบบที่มีการอุปถัมภ์นั่นเอง
ด้านนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ปัจจุบันกลับมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทโตชิบ้า ประเทศไทย ได้ให้ความเห็นเช่นกันว่า ความแตกต่างระหว่างการเมืองกับการบริหารธุรกิจมีหลายปัจจัย โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของการสนับสนุน ซึ่งจากประสบการณ์แล้วแม้ว่า ผู้หญิงจะสามารถทำธุรกิจควบคู่กับการทำงานบ้านต่างๆได้ แต่อย่างไรก็ตามบทบาทของผู้ชายนั้นก็ยังมีความสำคัญอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องการเป็นตัวแทนเพื่อจะพูดในงานพบปะสังสรรค์ต่างๆ
(เรียบเรียงจาก:https://www.bloomberg.com/news/articles/2019-02-25/women-gain-ground-in-thai-c-suites-not-so-much-in-government)
ทั้งหมดนี้ เป็นมุมมองของ สำนักข่าว Bloomberg ชื่อดังของประเทศสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคสตรีในการเมืองไทย ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจและต้องจับตามองกันต่อไปว่า หลังการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.นี้ ผ่านพ้นไป
ประเด็นเรื่องสตรีกับการมีส่วนร่วมในการเมืองไทยนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/