ปี 61 คนไทยเข้าถึงยาจำเป็นกว่า 38,000 ราย ประหยัดค่ายา 8.56 พันล้านบาท สูงสุดรอบ 8 ปี
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผย ข้อมูลบริการยาและเวชภัณฑ์ ปี 2561 ดูแลคนไทยเข้าถึงยาจำเป็นกว่า 3.87 หมื่นราย แยกเป็นยาบัญชี จ.(2) (หรือกลุ่มยาจำเป็นที่มีราคาแพง) กว่า 32,500 ราย ยากำพร้า/ยาต้านพิษ 5,310 ราย มูลค่าประหยัดงบค่ายากว่า 8.56 พันล้านบาท สูงสุดในรอบ 8 ปี พร้อมระบุภาพรวมผลดำเนินการที่ผ่านมา ดูแลผู้ป่วยเข้าถึงบัญชียา จ.(2) กว่า 101,000 รายในช่วง 9 ปี ยากำพร้า/ยาต้านพิษ 32,098 รายในช่วง 7 ปี รวมมูลค่าประหยัดงบค่ายาทั้งหมดกว่า 4.44 หมื่นล้านบาท ย้ำผลสำเร็จเกิดจากความร่วมมือทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยบริการทั่วประเทศ และภาคประชาชน
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษ กล่าวว่า การเข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นของผู้ป่วย เป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จในการดำเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข โดยโรงพยาบาลราชวิถี สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกับ สปสช.วางระบบการเข้าถึงยาและการชดเชยยา ระบบการจัดเก็บข้อมูลคุณภาพด้านยา รวมถึงการจัดให้มีระบบการตรวจสอบการใช้ยาให้เป็นไปตาเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาด้วยยาราคาแพงตามความจำเป็น โดยไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายครอบครัวและหน่วยบริการ โดยในปีงบประมาณ 2561 เป็นปีแรกของการดำเนินการตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ที่มอบให้โรงพยาบาลราชวิถีเป็นแม่ข่ายดำเนินการบริหารจัดการยาและเวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนแก่หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
จากข้อมูลการบริการยาและเวชภัณฑ์ในปีงบประมาณ 2561 มีผู้ป่วยเข้าถึงยาจำเป็นในระบบจำนวน 32,528 ราย โดยยาราคาแพงหรือยาบัญชี จ (2) จำนวน 21 รายการ ในการดูแลรักษาผู้ป่วย 29 กลุ่มโรค เป็นผู้ป่วยรายใหม่ จำนวน 16,829 คน และผู้ป่วยรายเก่ารับยาต่อเนื่อง จำนวน 15,699 คน ซึ่งรายการยาบัญชียา จ.(2) ที่ผู้ป่วยเข้าถึงสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ยาบีวาซิซูแมบ (Bevacizumab) เพื่อรักษาผู้ป่วยจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุและผู้ป่วยเบาหวานที่มีจอประสาทตาบวมจำนวน 10,994 ราย ยาเลโทรโซล (Letrozole) รักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลามจำนวน 8,543 ราย ยาโบทูลินั่ม ท็อกซิน ชนิด เอ (Botulinum toxin type A) ในผู้ป่วยกล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกครึ่งซีกจำนวน 3,743 ราย ยาเพกิเลต อินเตอร์เฟอรอน (Peginterferon) ในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีจำนวน 1,857 ราย และยาโดซีแทคเซล (Docetaxel ย่อว่า DTX) ในผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะลุกลาม มะเร็งต่อมลูกหมากจำนวน 1,595 ราย
ส่วนการเข้าถึงยากำพร้าและยาต้านพิษ ปี 2561 มีผู้ป่วยที่เข้าถึงยากำพร้าหรือยาต้านพิษ จำนวน 5,312 ราย โดยเข้าถึงเซรุ่มแก้พิษงูกะปะมากที่สุดจำนวน1,889 ราย รองลงมา คือ เซรุ่มแก้พิษงูเขียวหางไหม้จำนวน 1,527 ราย เซรุ่มต้าน พิษงูรวมระบบโลหิตจำนวน 870 ราย เซรุ่มรวมระบบประสาท (Polyvalent antivenum for neurotoxin) จำนวน 189 ราย และเซรุ่มต้านพิษแก้พิษงูแมวเซาจำนวน 144 ราย
นพ.สุขุม กล่าวว่า สำหรับภาพรวมการบริหารจัดการด้านยาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในช่วงที่ผ่านมา โดยในส่วนยาบัญชี จ.(2) ในช่วงระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่ปี 2553-2561 สามารถช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยาจำนวน 101,000 ราย ส่วนยากำพร้าและยาต้านพิษ ตลอดระยะเวลา 7 ปี ตั้งแต่ปี 2555-2561 ได้ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยาจำนวน 32,098 ราย ขณะที่มูลค่ายาที่ภาครัฐประหยัดงบประมาณจากการบริหารจัดการด้านยานี้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2553-2560 เป็นจำนวนเงินถึง 44,430.84 ล้านบาท โดยในปี 2560 ประหยัดได้ถึง 8,567.48 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่ายาที่ประหยัดมากกว่าปีที่ผ่านๆ มาทั้งหมด
“ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้มาจากความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยบริการทั่วประเทศ และภาคประชาชน ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาที่จำเป็น รวมถึงผู้ป่วยในสิทธิสุขภาพอื่นๆ ลดลดภาวะเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต แต่ยังทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ดำเนินมาถึงวันนี้ เป็นไปอย่างครอบคลุม ทั่วถึง มีคุณภาพและมาตรฐาน ทั้งยังเป็นการบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งในช่วงระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา สามารถประหยัดงบประมาณค่ายาให้กับภาครัฐได้ถึง 44,430.84 ล้านบาท โดยมีหลายประเทศได้มาศึกษาดูงานเพื่อเป็นแนวทางดำเนินการดูแลสุขภาพประชากรในประเทศของตนเอง” ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าว