บล.ไทยพาณิชย์ เปิดตัว “Wealth Research”เติมมุมมองลงทุนเจาะลึกใน-ต่างปท.
บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ หรือ SCBS เปิดตัวขุนพล Wealth Research เติมเต็มบริการแนะนำการลงทุน วิเคราะห์เจาะลึกทุกมุมมองครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ทางการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมด้วย Investment solution ตอบโจทย์ทุกความต้องการลูกค้ารวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้บริการ Wealth Management พร้อมผนึกกำลังเอสซีบี ไพรเวทแบงก์กิ้ง (SCB Private Banking) เสิร์ฟบทวิเคราะห์ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นแบบฉบับเฉพาะบุคคลสำหรับลูกค้า SCB Private Banking ด้วยแพลตฟอร์มการลงทุนแบบ Open Architecture ปูพรมเสริมแกร่งความรู้ด้วยซีรีส์สัมมนาตลอดปี ประเดิมงานสัมมนา “มุมมองทิศทางตลาดทุนไทย 2019… Opportunity Beyond The Unpredictable Market” โดยทีม Wealth Research คุณภาพของ SCBS
นายกัมพล จันทวิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า “ตามที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะธนาคารแม่ได้เดินหน้าปรับทัพองค์กรรองรับกระแสดิจิทัล ขับเคลื่อนแบงก์สู่แพลตฟอร์มที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญก็คือการนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ให้กับลูกค้า การใช้เทคโนโลยีที่ดีขึ้นจะช่วยให้ลูกค้าได้รับการบริการและข้อมูลได้ตรงตามความต้องการและในเวลาที่เหมาะสม ทำให้มีโอกาสจะสร้างผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีขึ้น โดยบล.ไทยพาณิชย์เป็นหนึ่งในช่องทางที่สำคัญที่สนับสนุนกลยุทธ์ในการสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้า โดยในปีที่ผ่านมาบล.ไทยพาณิชย์จับมือกับธนาคารไทยพาณิชย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ในฐานะ Partnership ร่วมกัน นำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และองค์ความรู้ทางด้านการลงทุนผ่าน SCB Investment Center และสาขาของธนาคารทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงบริการด้านการลงทุนในทุกมิติของลูกค้า ทั้งนี้ บล.ไทยพาณิชย์มองเห็นถึงช่องทางที่ธนาคารมีและเห็นโอกาสการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการเรื่องการลงทุนให้กับนักลงทุนทุกกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะลูกค้า Wealth ที่ยังสามารถขยายตัวได้อีกมาก เพื่อให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างแม่นยำ SCBS จึงได้สร้างทีม Wealth Research เพื่อให้คำแนะนำการลงทุน วิเคราะห์เจาะลึกด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ทางการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในรูปแบบบทวิเคราะห์นำเสนอให้กับนักลงทุนแต่ละรายให้เหมาะสมกับพอร์ตการลงทุน ซึ่งบล.ไทยพาณิชย์เชื่อว่าคุณภาพของ Wealth Research จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้การทำธุรกรรมด้านการเงินและการลงทุนของลูกค้าประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ทีม Wealth Research ประกอบด้วย นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย รับผิดชอบดูแลสายงานวิจัยทั้งหมด ได้แก่ งานวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนใน SET และ mai งานวิเคราะห์ด้านกลยุทธ์การลงทุน งานวิเคราะห์ทางเทคนิคทั้ง SET และ TFEX งานวิจัยการลงทุนทุกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อวางกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมและครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้กับนักลงทุกประเภท ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย รับผิดชอบงานด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคและการลงทุนด้านปัจจัยพื้นฐาน นายพยนต์ พงศาวรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย รับผิดชอบงานด้านการให้คำแนะนำการลงทุนสำหรับนักลงทุนซึ่งมีประสบการณ์ด้านการบริหารกองทุนและให้คำแนะนำการลงทุนมานานกว่า 12 ปี นางสาวณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย รับผิดชอบงานด้านการวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานในหุ้นขนาดกลางและเล็ก นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย รับผิดชอบงานด้านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ทั้งหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) เล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของลูกค้ากลุ่ม Wealth ซึ่งจำเป็นต้องใช้งานวิจัยที่แตกต่างไปจากรูปแบบเดิม เนื่องจากการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth management) ต้องการงานวิจัยที่ครอบคลุมมุมมองการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น SCBS จึงจัดตั้งทีม Wealth Research ขึ้น เพื่อจัดทำงานวิจัย ซึ่งครอบคลุมทั้งการวิเคราะห์หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ หุ้นกู้ หุ้นกู้อนุพันธ์ และ กองทุนรวม เป็นต้น เพื่อนำเสนอให้ลูกค้านำไปใช้สนับสนุนการตัดสินใจลงทุนได้อย่างถูกต้อง และทันต่อเหตุการณ์ นอกจากนี้เพื่อให้งานวิจัยกองทุนรวม และ หุ้นต่างประเทศ มีคุณภาพและได้มาตรฐานเทียบเท่ากับระดับสากลในต่างประเทศ SCBS จึงได้จับมือกับบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศอย่าง Morningstar เพื่อนำข้อมูลและบทวิเคราะห์มาใช้ประกอบในการทำบทวิจัยอีกด้วย
นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสาย Private Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ภาพรวมของตลาดลูกค้ากลุ่มที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (Ultra-High-Net-Worth) ในประเทศไทย ที่มีสินทรัพย์ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป มีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีจำนวนลูกค้าอยู่ประมาณ 123,000 ราย โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) อยู่ที่ประมาณ 20 ล้านล้านบาท คิดเป็นการเติบโตกว่า13.3 % ในปี 2560 สำหรับฐานลูกค้า SCB PRIVATE BANKING ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 10,000 ราย มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) อยู่ที่ 7.5 แสนล้านบาท โดยธนาคารมองว่าธุรกิจลูกค้ากลุ่มที่มีความมั่งคั่งระดับสูงมีศักยภาพและโอกาสในการเติบโตอีกมาก ด้วยศักยภาพของทีมที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินอย่าง Estate Planning & Family Office ทีมให้คำปรึกษาด้านการส่งต่อความมั่งคั่งและรักษาทรัพย์สินที่มีอยู่จากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างสมบูรณ์ ตอบโจทย์และเติมเต็มความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า และทีม Chief Investment Officer (CIO) ศูนย์ยุทธศาสตร์ที่เปรียบเสมือนคลังสมองในการบริหารกลยุทธ์การลงทุนของลูกค้า SCB Wealth นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมาธนาคารไทยพาณิชย์ได้พัฒนาเวลธ์แพลตฟอร์มที่ผสานความแข็งแกร่งของทีมที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเข้ากับเทคโนโลยีอันทันสมัย รวมถึงการจับมือกับ “จูเลียส แบร์” เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการลงทุนในต่างประเทศ (Off-shore) และในปีนี้ SCB PRIVATE BANKING ได้ผนึกกำลังกับ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ หรือ SCBS เพื่อเติมเต็มความต้องการของลูกค้าที่ต้องการลงทุนในประเทศ (On-shore) จัดเตรียมบทวิเคราะห์ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นแบบฉบับเฉพาะบุคคลสำหรับลูกค้า SCB PRIVATE BANKING ที่เหมาะสมกับความต้องการ และความสนใจของแต่ละบุคคล พร้อมแพลตฟอร์มการลงทุนแบบ Open Architecture ที่คัดสรรพิเศษมาให้ลูกค้าได้เลือกลงทุนพร้อมผลตอบแทนที่เพิ่มความมั่งคั่ง เพื่อสร้างประสบการณ์ดูแลลูกค้าแบบไร้ขีดจำกัดด้วยมืออาชีพ สอดคล้องกับปรัชญาการให้บริการ It’s a Matter of Trust”
ทั้งนี้ Wealth Research และ Private Banking ร่วมกันจัดสัมมนาตลอดทั้งปี เพื่อให้ข้อมูลที่ครบถ้วน เจาะลึกรอบด้านแก่ลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งในระดับสูง เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจในการลงทุน ต่อยอดความมั่งคั่งทั้งส่วนตัวและธุรกิจ ประเดิมด้วยงานสัมมนา “มุมมองทิศทางตลาดทุนไทย 2019… Opportunity Beyond The Unpredictable Market”
นายสุกิจ ได้ให้มุมมองการลงทุนปี 2019 ว่า ภาพรวมผลตอบแทนจากการลงทุนในปี 2019 นี้ จะดีกว่าปี 2018 โดยเชื่อว่าสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี ราคาเหมาะสมจะกลับมาให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยมองโอกาสด้านบวกหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวแรงเกินไป อาจส่งผลให้ธนาคารกลางหลัก เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดความเข้มงวดของนโยบายการเงิน หรือแม้กระทั่งหันกลับมาใช้นโยบายผ่อนคลาย ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดการเงิน อย่างไรก็ดี ด้านความเสี่ยงก็ยังคงมีเช่นกัน หากธนาคารกลางสหรัฐฯยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป รวมถึง สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน กลับมารุนแรงขึ้นหลังจบช่วงพักรบ ก็จะส่งผลลบต่อตลาดการเงิน อย่างไรก็ตาม ยังคงประเมินว่าเงินทุนต่างชาติจะเริ่มทยอยเคลื่อนย้ายออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯมาที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) รวมถึงเงินทุนบางส่วนจะเคลื่อนย้ายออกจากหุ้นเศรษฐกิจยุคใหม่ (News Economy) เช่น หุ้นเทคโนโลยี มาที่หุ้นเศรษฐกิจยุคเก่า (Old Economy) เช่น การบริโภค สาธารณูปโภคพื้นฐาน เป็นต้น อย่างไรก็ดีในปี 2019 ยังไม่มีการบ่งชี้ถึงสภาวะถดถอยอย่างชัดเจนในประเทศเศรษฐกิจหลัก กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ซื้อ ตลาดหุ้นไทย ชอบกลุ่มธุรกิจด้านการบริโภคและการลงทุนในประเทศ ในขณะที่ประเมินว่า ตลาดหุ้นจีนมีโอกาสฟื้นตัวระยะสั้น รอซื้อตลาดหุ้นสหรัฐฯหากมูลค่าเหมาะสมมากขึ้น และ แนะนำให้กระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น REIT และ IFF รวมถึง ทองคำ เพื่อลดความผันผวนของเงินลงทุน