“สมพร”ชี้นโยบายสาธารณะทำรากหญ้าอ่อนแอ แนะชุมชนพึ่งตนเอง
ปธ.กก.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฯวิพากษ์นโยบายสาธารณะประชานิยมไม่สนองตอบพัฒนาทำรากหญ้าอ่อนแอ ชมกระจายอำนาจภูมิภาคดีขึ้น มูลนิธิสถาบันวิจัยฯแนะอปท.เชื่อมั่นศักยภาพอย่ารอรัฐบาลช่วยเหลือ
เร็วๆนี้ นายสมพร ใช้บางยาง ประธานคณะกรรมการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป กล่าวในเวทีวิชาการแผ่นดินเดียวกันเหมือนอยู่คนละโลกวาระการวิจัยเพื่ออนาคต จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ว่า นโยบายสาธารณะยังไปไม่ถึงระดับล่าง การกำหนดเป็นเพียงแต่ในระดับรัฐบาลและคนในเมืองที่ได้ประโยชน์ รัฐบาลกำหนดนโยบายที่กว้างไม่มีความสมดุล ดูเหมือนจะช่วยให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เช่น นโยบายประชานิยมแต่ความเป็นจริงกลับสร้างความอ่อนแอให้กับระดับปัจเจก สร้างผลกระทบต่อสังคมส่วนรวมในระยะยาว ไม่สามารถสนองความต้องการของสังคมได้จริง เมื่อโลกเปลี่ยนไป การเข้ามาของวัตถุนิยม ทุนนิยมยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้น แต่นโยบายสาธารณะที่มีอยู่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
“ถ้าปล่อยไว้บ้านเมืองไปไม่รอด ตั้งแต่ระดับฐานล่างจะทำอย่างไร ทำอย่างไรสังคมฐานล่างจะอยู่ได้ ที่ผ่านมาเราละเลยพัฒนาเรื่องทรัพยากรที่เป็นธรรม ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะค่อนข้างยากการไม่สร้างปัญญาทำให้การพัฒนาไปช้า ถ้าปล่อยให้รัฐทำฝ่ายเดียว ประชาชนอยู่เฉยๆจะไม่สามารถรักษาบ้านเมืองได้”
ประธานคณะกรรมการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวอีกว่า วันนี้ถึงเวลาที่จำเป็นต้องหันมาพึ่งชุมชน เปลี่ยนจากรัฐรวมศูนย์มาสู่การสร้างฐานชุมชนให้เข้มแข็ง มีข้อพิสูจน์ที่ผ่านมาการรวมศูนย์ไม่สามารถรักษาบ้านเมืองได้ ประเทศไทยจำเป็นต้องวกกลับมาที่รากเหง้า ถ้าท้องถิ่นจำนวนกว่า 7,853 แห่งรวมทั้งเขตปกครองพิเศษอื่นๆหลอมรวมเข้าด้วยกันจะเกิดพลังเข้มแข็ง นั่นคือคำตอบเพราะท้องถิ่นดูแลทุกตารางนิ้วในชุมชน ดูแลคนตั้งแต่เกิดจนตาย สามารถที่จะกำหนดนโยบายสาธารณะทำให้เกิดการมีส่วนร่วมได้
“พลังปัญญานับวันยิ่งอ่อนแอจึงไม่มีพลังมากพอที่จะเป็นเครื่องมือชี้นำ สังคมต้องคิดเรื่องการพึ่งตนเองมากขึ้น ต้องทำให้ชุมชนเข้มแข็งไม่ใช่ปล่อยให้ถูกทำลายโดยนโยบายรัฐ สิบกว่าปีการกระจายอำนาจมีการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคมากขึ้น มีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานมีพัฒนาการที่พึ่งได้ ยังคงเหลือแต่ข้างบนเท่านั้นที่ยังไม่พัฒนาตัวเอง”
ด้าน นพ.วิพุธ พูลเจริญ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนานโยบาย กล่าวว่า นโยบายสาธารณะประเทศไทยเน้นในเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าจะเน้นเรื่องเทคนิคการพัฒนา แม้แต่การประชาคมในชุมชน ใครเป็นคนกำหนดยังไม่รู้แน่ชัด หรือที่ทำไปเพราะรูปแบบปกครองสนับสนุนให้ทำแบบนั้น การพัฒนานโยบายสาธารณะเป็นเรื่องความโปร่งใสต้องอาศัยหลายสาขาร่วมมือกัน โดยเฉพาะนโยบายเกษตรที่เกิดขึ้นในประเทศ หลายคนยังสงสัยเป็นนโยบายที่กำหนดโดยรัฐบาลหรือกำหนดโดยบริษัทเกษตรยักษ์ใหญ่ การทำนโยบายสาธารณะของไทย มีข้อจำกัดเพราะมองการจัดการเชิงเส้นตรง แยกกระบวนการคิดออกจากการปฏิบัติ เป้าประสงค์ขาดความชัดเจน ขาดการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบและมีหลักฐาน ใช้นโยบายเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง
“ควรมีการศึกษาทั้งนโยบายระดับชาติและระดับท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเชื่อมั่นในศักยภาพตนเอง ยกตัวอย่างปัญหาเด็กวัยรุ่น ยาเสพติดอย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเข้ามาแก้ หรือรอให้เจ้าหน้าที่ส่วนกลางมาประเมินให้ว่าเป็นอย่างไร ท้องถิ่นต้องทำเอง เช่นเดียวกับการทำนโยบายที่แยกส่วน อำเภอ จังหวัด ท้องถิ่นคิดและแยกกันทำก็เป็น คนทำเรื่องนโยบายสาธารณะกับชุมชน ท้องถิ่นจำเป็นต้องมีการประเมินตลอดเวลา เพื่อสร้างประสิทธิภาพให้เกิดขึ้นกับการพัฒนาท้องถิ่น”