ยกฟ้อง'นที'รองประธานกสทช.คดีแชร์สัญญาณบอลโลก
ยกฟ้อง'นที'รองประธานกสทช.คดีแชร์สัญญาณบอลโลก
ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.3209/2557 ที่บริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นโจทก์ฟ้อง พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 5 พ.ย. 2555 - 30 เม.ย. 2556 ต่อเนื่องกัน จำเลย ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งกรรมการ กสทช. ได้ให้ความเห็นชอบในการประกาศหลักเกณฑ์ รายการโทรทัศน์สำคัญที่เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ.2555 โดยไม่ฟังคำโต้แย้งจากโจทก์ ซึ่งเป็นผู้ได้สิทธิ์ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกปี ค.ศ.2014 จากประเทศบราซิล และจำเลยยังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนจนทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่า บริษัทโจทก์ประกอบธุรกิจเอาเปรียบประชาชน ซึ่งล้วนเป็นเท็จ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. โดยนายนที จำเลยให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี
วันนี้นายนที จำเลยซึ่งได้รับการประกันตัวก็เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมทนายความ ขณะที่ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า การลงมติและออกประกาศดังกล่าวเป็นไปตามการพิจารณาของที่ประชุม กสทช. ซึ่งเป็นการทำในรูปแบบของคณะกรรมการ มิใช่พิจารณาโดยจำเลยเพียงลำพัง ขณะที่การพิจารณาก่อนออกร่างประกาศดังกล่าว ทางจำเลยก็มองหมายให้เจ้าหน้าที่ในสำนักงาน กสทช.ไปพิจารณาเนื้อหาการถ่ายทอดรายการเกี่ยวกับกีฬาอย่างรอบด้าน ซึ่งมีการพิจารณาถึงกีฬาภาคพื้นแถบยุโรป และยังได้ดำเนินตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว โดยที่ประชุม กสทช. ได้มีมติเห็นว่า เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการรับชมรายการโทรทัศน์สำคัญ จึงให้นำรายการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายไปอยู่ในภาคผนวก เพื่อให้มีการแชร์สัญญาณสู่ฟรีทีวี โดยประชาชนทั่วไปสามารถรับชมได้อย่างเสมอภาค เป็นธรรม และเท่าเทียมกัน ซึ่งศาลเห็นว่า แม้จะกระทบสิทธิของโจทก์บ้าง แต่การออกประกาศดังกล่าวก็ได้พิจารณาถึงประโยชน์ของประชาชนทั่วไปเป็นสำคัญ เพื่อให้ได้รับความเสมอภาค
ส่วนที่จำเลยได้แถลงข่าวมีเนื้อหากล่าวถึงมาตรการการปรับ การพักใบอนุญาตหากมีการฝ่าฝืนนั้น ก็เป็นการที่จำเลยได้แถลงข่าวให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับมติที่ประชุมและแนวทาง ซึ่งขณะนั้นประชาชนก็ให้ความสนใจในข่าวดังกล่าว โดยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น จะต้องปรากฎว่ามีเจตนาพิเศษที่จะให้ผู้ใดผู้หนึ่งเสียหาย แต่ในทางนำสืบไม่ปรากฏว่า การกระทำของจำเลยจะเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ แต่การกระทำของจำเลยนั้นเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของ พ.ร.บ.องค์กรการจัดสรรคลื่นความถี่ฯ และ พ.ร.บ.ประกอบกิจโทรทัศน์ฯ พิพากษายกฟ้อง
ภายหลัง นายนที กล่าวว่า การปฏิบัติของ กสทช. ที่ผ่านมา ได้คำนึงถึงความเสมอภาคและเป็นธรรมของประชาชน ซึ่งในการรับชมการถ่ายทอดฟุตบอลในครั้งนั้น ทำให้ไม่ต้องซื้อกล่อง ส่วนที่โจทก์จะอุทธรณ์ก็เป็นสิทธิที่จะดำเนินการต่อไป