สดจากครอบครัว'ณรงค์เดช' ในวันที่ พ่อ-ลูก-แม่ยาย แตกหักฟ้องร้องคดีศึกชิงหุ้นวินด์หมื่นล.
"...เรื่องการซื้อหุ้นวินด์ ในข้อเท็จจริงนั้น ณพ เขาไปจัดการเองหมด ไปตกลงอะไรมาเรียบร้อยแล้วก็มานำเสนอให้คนในครอบครัวฟัง เขาบอกว่ามันเป็นธุรกิจที่ดี ช่วยเสริมธุรกิจเคพีเอ็น ของครอบครัวได้ ช่วงแรกอาจจะใช้เงินมากน้อย แต่ในระยะยาวได้ผลตอบแทนดี พวกเราก็เห็นด้วย ก็ให้เงินสนับสนุนไปดำเนินการ แต่หลังจากนั้น เงินมันเริ่มถูกใช้เยอะมาก รวมแล้วเงินที่ครอบครัวลงไปประมาณ 2-3 พันล้าน ผมก็เลยบอกไปว่า ถ้าจะเอาเงินไปใช้เยอะขนาดนี้ ก็ต้องมีการทำสัญญาแบ่งหุ้นให้กับคนในครอบครัวในชัดเจน เพราะเป็นเงินของคนในครอบครัว จึงมีการทำสัญญาแบ่งหุ้นกัน แต่หลังจากนั้น เรื่องก็เงียบหายไป จนกระทั่งในช่วงต้นปี 2561 มีหมายศาลส่งมาถึงพ่อ ว่าไม่ได้ชำระค่าหุ้นให้เจ้าของเดิม ซึ่งในตอนนั้น ผมเริ่มรู้สึกว่าเรื่องมันดูแปลกๆไม่ค่อยดีแล้ว ครอบครัวจึงมีการเรียกณพ เข้ามาพูดคุย ประมาณ 7-8 ครั้ง เขาก็บอกแต่ว่าไม่มีปัญหาอะไรทุกอย่างเรียบร้อย พูดแต่ว่า เจ้าของเก่าจะทวงหุ้นคืน...”
“พวกเราไม่ค่อยรู้ข้อมูลรายละเอียดเรื่องการซื้อหุ้นวินด์กันมากนัก เพราะณพ (นายณพ ณรงค์เดช ลูกชายคนรอง) เขาเป็นคนไปดำเนินการไปจัดการเองทั้งหมด แล้วค่อยมาแจ้งให้เราทราบหลังจากไปตกลงอะไรเสร็จแล้ว ซึ่งในช่วงที่เริ่มปรากฏข่าวว่าการซื้อหุ้นมีปัญหา ทางครอบครัวก็มีการเรียกเขาเข้ามาพูดคุยกันหลายรอบ เขาก็ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาอะไรทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่เราเพิ่งจะมารู้กันจริงๆ ว่าการซื้อขายหุ้นครั้งนี้มันมีปัญหามาก และส่งผลกระทบต่อครอบครัวเราโดยตรง ก็ตอนที่ได้รับแจ้งหมายศาลช่วงต้นปี 2561 ที่ผ่านมา ว่าพ่อโดนฟ้อง และยิ่งเราไปติดตามตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังทั้งหมด ก็ได้รู้ความจริงว่า มันมีเรื่องที่ไม่ดีหลายเรื่องซ่อนอยู่อีกเยอะ”
คือ ประโยคยืนยันของ นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ลูกชายคนโต ในครอบครัวณรงค์เดช ที่กล่าวระหว่างการตั้งโต๊ะเปิดแถลงข่าวเป็นทางการครั้งแรก ของคนในครอบครัว "ณรงค์เดช" ผู้บริหารกลุ่มธธุรกิจบริษัทเคพีเอ็น นำโดย นายเกษม ณรงค์เดช ผู้เป็นพ่อ นายกฤษณ์ ลูกชายคนโต นายกรณ์ ณรงค์เดช ลูกชายคนเล็ก พร้อมด้วยทนายความสำนักงานกฎหมายเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ที่คฤหาสน์ 3 ชั้น หลังใหญ่โต ในซอยสุขุมวิท ช่วงสายวันที่ 12 ธ.ค.2561 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับข้อเท็จจริงปัญหาการฟ้องร้องคดีความซื้อขายหุ้น บริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด วงเงินนับหมื่นล้านบาท และคดีฟ้องร้อง ระหว่างนายเกษม กับ นายณพ ณรงค์เดช ลูกชายคนรอง และคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา (แม่ยายของนายณพ) ที่ปรากฏเป็นข่าวดังในแวดวงธุรกิจก่อนหน้านี้
หากใครยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เคยนำข้อมูลมาเสนอไปแล้วว่า ในช่วงต้นปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทซิมโฟนี่ พาร์เนอร์ (เอสพีแอล) บริษัทเน็กซ์โกลบอล อินเวสเมนท์ (เอ็นจีไอ) และ บริษัท ไดนามิค ลิ้งค์ เวนเจอร์ (ดีแอลวี) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนจัดตั้งในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายณพ ณรงค์เดช และผู้เกี่ยวข้อง ในคดีซื้อขายหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH)
ส่วนมูลเหตุในการฟ้องร้องคดีนั้น เกิดขึ้นในช่วงปี 2558 บริษัทซิมโฟนี่ พาร์เนอร์ (เอสพีแอล) บริษัทเน็กซ์โกลบอล อินเวสเมนท์ (เอ็นจีไอ) และ บริษัท ไดนามิค ลิ้งค์ เวนเจอร์ (ดีแอลวี) ได้ขายหุ้นประมาณร้อยละ 99 ของหุ้นวินด์ ให้กับ เคพีเอ็น อีที (ซึ่งในขณะนั้นใช้ชื่อว่าบริษัท รีนิวเอเบิล เอนเนอยี คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด และถือหุ้นในวินด์ เอนเนอร์ยี่ในสัดส่วนร้อยละ 59.4) ในราคาตามสัญญาทั้งสิ้น 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีกำหนดชำระเงินเป็นหลายงวด
โดยผู้ซื้อหุ้นดังกล่าวคือ ฟุลเลอร์ตัน เบย์ อินเวสเม้นท์ ลิมิเต็ด และ บริษัท เคพีเอ็นเอนเนอยี่โฮลดิ้ง จำกัด หรือ เคพีเอ็น อีเอช แต่ในภายหลังดีลซื้อขายหุ้นดังกล่าว มีปัญหาชำระค่าหุ้นไม่ครบถ้วน ซึ่งเอสพีแอล เอ็นจีไอ และดีแอลวี กล่าวอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการผิดนัดชำระค่าหุ้น อยู่ที่ตัวเลขประมาณ 876,522,933.77 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 29,731,658,521.66 บาท และเรียกร้องให้มีการใช้หนี้ค่าหุ้นดังกล่าว แต่ตกลงกันไม่ได้ จนนำไปสู่การฟ้องร้องคดีดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลานั้น ครอบครัวณรงค์เดช-กลุ่มบริษัทเคพีเอ็น ได้ออกแถลงการณ์ ประกาศไม่ขอรับผิดชอบกับการกระทำใดๆของทายาทคนกลาง นายณพ หลังเจอปัญหาถูกฟ้องร้องคดีซื้อขายหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) โดยลากคนในตระกูลติดร่างแหไปด้วย จนเป็นที่มาของแถลงการณ์ที่ระบุการดำเนินการใดๆของ นายณพที่ผ่านมา และต่อจากนี้ครอบครัวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น และจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด หากมีการนำชื่อสมาชิกครอบครัวณรงค์เดชไปใช้โดยไม่ได้รับการยินยอม (อ่านประกอบ : เปิดตัว 3 บ.ฮ่องกง คู่กรณี 'ณพ ณรงค์เดช' ในคดีศึกชิงหุ้น วินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ หมื่นล., เปิดธุรกิจหมื่นล. 3 พี่น้องเคพีเอ็นกรุ๊ป ก่อนขับ‘ณพ’พ้นกงสี ปมหุ้น WEH ขุมข่าย 50 บริษัท)
ก่อนที่ในเวลาต่อมา นายเกษม ผู้เป็นพ่อ จะยื่นฟ้องคดีอาญาต่อนายณพ และคุณหญิงก่อแก้ว บุญยะจินดา แม่ภรรยาของนายณพ คดีใช้เอกสารปลอมในการโอนหุ้นวินด์ฯ หลังตรวจสอบพบข้อมูลว่า ในช่วงเดือนเม.ย.2559 หลังจากที่ ฟุลเลอร์ตัน เบย์ อินเวสเม้นท์ ลิมิเต็ด และ บริษัท เคพีเอ็นเอนเนอยี่โฮลดิ้ง จำกัด เข้ามาถือครองหุ้นวินด์ ต่อจาก เอสพีแอล เอ็นจีไอ และดีแอลวี หุ้นทั้งหมด ได้ถูกโอนต่อมาในชื่อของนายเกษม
จากนั้นหุ้นทั้งหมดได้ถูกโอนต่อไปที่บริษัท Golden Music Limited ในฮ่องกง โดยปรากฏชื่อนายเกษม เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในช่วงเดือน ส.ค.2560
หลังจากนั้นในช่วงเดือน มิ.ย.2560 ชื่อของนายเกษม ก็ถูกถอดออกจากการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ปรากฏชื่อ คุณหญิงก่อแก้ว บุณยะจินดา แม่ภรรยานายณพ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทน โดยอ้างเอกสารสัญญาแต่งตั้งตัวแทนระหว่างคุณหญิงก่อแก้วกับ นายเกษม ที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 25 เม.ย.2559 มีนายณพ ลงนามเป็นพยาน ซึ่งเอกสารการโอนหุ้นทั้งหมด
ขณะที่ นายเกษม ยืนยันว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ลายเซ็นไม่ใช่ของตนเอง เป็นเอกสารปลอมที่ทำขึ้นทั้งหมด? (ดูตารางประกอบ)
อย่างไรก็ดี สำหรับคดีนี้ ในช่วงปลายเดือนพ.ย.2561 ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้ตัดสินไม่รับฟ้องคดี หลังพิจารณาหลักฐานแล้วเห็นว่า หลักฐานต่างๆ ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ก่อนที่จะปรากฏข้อมูลในสื่อบางสำนักว่า ในการฟ้องร้องคดีนี้ นายเกษม ซึ่งปัจจุบันมีอายุมาก มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ถูกคนในครอบครัว ใช้เป็นเครื่องมือในการฟ้องร้องลูกชายคนรอง
ทั้งนี้ ในการตั้งโต๊ะเปิดแถลงข่าวเป็นทางการครั้งแรกของคนในครอบครัว ณรงค์เดช นำโดยนายเกษม พร้อมด้วย นายกฤษณ์ นายกรณ์ ณรงค์เดช ลูกชายทั้ง 2 คน ครั้งนี้
นายเกษม กล่าวว่า ปัจจุบันแม้ตนจะอายุ 83 ปีแล้ว แต่สุขภาพความจำยังดีอยู่ และได้เดินทางไปตรวจร่างกายได้รับการรับรองจากแพทย์ มีใบรับรองแพทย์ เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2561 ยืนยันว่า สุขภาพดี สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติวิสัย ส่วนลายเซ็นของ ที่ปรากฏอยู่เอกสารทั้งการรับโอนหุ้นวินด์ต่อมา และเอกสารสัญญาแต่งตั้งตัวแทนระหว่างตนกับคุณหญิงกอแก้ว ขอยืนยันว่าไม่ใช่ลายเซ็นของตน และไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องการโอนหุ้นดังกล่าวด้วยเลย
“สถานการณ์ตอนนี้ มันไม่ค่อยดี เรื่องราวมันเริ่มลุกลามบานปลายใหญ่โต ส่งผลกระทบหลายคน ทั้งครอบครัวและผู้เกี่ยวข้องส่วนอื่นๆ ทำให้ได้รับความเดือนร้อนกันไปหมด พวกเราจึงตัดสินใจออกมาเปิดแถลงข่าว เพื่อต้องการให้ปัญหายุติลงโดยเร็ว ซึ่งการที่ผมออกมาเปิดแถลงข่าวด้วยตนเองครั้งนี้ ก็คงจะยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ ว่ามีปัญหาสุขภาพไม่ดีแล้ว ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด”
ส่วนนายกฤษณ์ ณรงค์เดช ลูกชายคนโต กล่าวว่า ครอบครัวณรงค์เดช ทำธุรกิจมานาน มีธุรกิจหลายประเภท ตนเป็นรุ่นที่ 3 เรายึดคติมาตลอดเวลา ไม่เคยโกงใคร ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไม่ดี แต่วันนี้ มีหมายศาลส่งมาที่บ้านตลอด และเชื่อว่าคงมีอีกเรื่อยๆ ทั้งที่ พวกเราไม่ได้ไปทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีไว้เลย
“เรื่องการซื้อหุ้นวินด์ ในข้อเท็จจริงนั้น ณพ เขาไปจัดการเองหมด ไปตกลงอะไรมาเรียบร้อยแล้วก็มานำเสนอให้คนในครอบครัวฟัง เขาบอกว่ามันเป็นธุรกิจที่ดี ช่วยเสริมธุรกิจเคพีเอ็น ของครอบครัวได้ ช่วงแรกอาจจะใช้เงินมากน้อย แต่ในระยะยาวได้ผลตอบแทนดี พวกเราก็เห็นด้วย ก็ให้เงินสนับสนุนไปดำเนินการ แต่หลังจากนั้น เงินมันเริ่มถูกใช้เยอะมาก รวมแล้วเงินที่ครอบครัวลงไปประมาณ 2-3 พันล้าน ผมก็เลยบอกไปว่า ถ้าจะเอาเงินไปใช้เยอะขนาดนี้ ก็ต้องมีการทำสัญญาแบ่งหุ้นให้กับคนในครอบครัวในชัดเจน เพราะเป็นเงินของคนในครอบครัว จึงมีการทำสัญญาแบ่งหุ้นกัน แต่หลังจากนั้น เรื่องก็เงียบหายไป จนกระทั่งในช่วงต้นปี 2561 มีหมายศาลส่งมาถึงพ่อ ว่าไม่ได้ชำระค่าหุ้นให้เจ้าของเดิม ซึ่งในตอนนั้น ผมเริ่มรู้สึกว่าเรื่องมันดูแปลกๆไม่ค่อยดีแล้ว ครอบครัวจึงมีการเรียกณพ เข้ามาพูดคุย ประมาณ 7-8 ครั้ง เขาก็บอกแต่ว่าไม่มีปัญหาอะไรทุกอย่างเรียบร้อย พูดแต่ว่า เจ้าของเก่าจะทวงหุ้นคืน”
“แต่เราก็เริ่มไม่เชื่อแล้ว จึงไปตามตรวจสอบข้อมูลต่อ ก็พบข้อมูลที่ไม่ดีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องการใช้การปลอมลายเซ็นพ่อไปใช้ในการโอนหุ้นช่วงต่างๆ ซึ่งมันมีข้อพิรุธจำนวนมาก คล้ายๆเป็นการทำย้อนหลัง เพื่อเอามารองรับการโอนหุ้นหนี เจ้าของเดิม เริ่มจากโอนหุ้นเขาหนีมาที่พ่อ แต่พอพ่อครอบครัวเริ่มรู้ปัญหาแล้ว ก็ดอนหุ้นหนีต่อไปที่แม่ยาย แต่ที่รับไม่ได้เลย ก็คือ การเอาพ่อมาประจานในวันพ่อแบบนี้ ผมรับไม่ได้เลยจริงๆ”
นายกฤษณ์ ลูกชายคนโต ยังระบุว่า นอกจากเรื่องการโอนหุ้นวินด์ฯ ที่มีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ทางเราได้ย้อนไปตรวจสอบข้อมูลการเงินของบริษัทในเครือเคพีเอ็นที่เขาบริหารอยู่ ก็พบว่า มีการโอนเงินบริษัทออกไปจำนวนมากกว่า 1.3 พันล้าน ไปเข้าบัญชีคนโน่นคนนี่ รวมไปถึงสหกรณ์ตำรวจ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับธุรกิจของบริษัทเลย ปัจจุบันแม้ว่าเงินจะถูกโอนกลับมาแล้ว เหลืออยู่อีกประมาณ 600-700 ล้านบาท แต่เราทางบริษัทได้แจ้งความฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้บริหารบริษัทแล้ว และตอนนี้กำลังจะพิจารณาว่าจะฟ้องร้องคดีในส่วนของณพ เพิ่มหรือไม่ด้วย (ดูคลิปประกอบ)
ส่วนนายกรณ์ ณรงค์เดช ลูกชายคนเล็ก ยืนยันว่า ในช่วงที่ครอบครัวเราเข้าไปซื้อหุ้นวินด์ใหม่ๆ พี่ชายคนรอง มาชวนให้เข้าไปทำงานด้วย ตอนแรกก็ลังเลที่จะไป เพราะมีข่าวไม่ดีเริ่มปรากฏออกมา แต่ก็ได้รับคำยืนยันจากพี่ชาย ที่เอามือมาจับเข่าตนแล้วพูดอย่างจริงใจ ว่า ข่าวที่ออกมาไม่เป็นความจริง พร้อมยืนยันว่าครอบครัวเราไม่เคยได้ทำธุรกิจอะไรที่ไม่ดี ตามคำสอนของแม่ แต่เมื่อตนเริ่มเข้าไปนั่งบริหารงาน ก็พบว่า ข้อมูลหลายเรื่อง เริ่มไม่เป็นไปตามที่พี่ชายเคยนำมาแจ้งไว้กับครอบครัว และมักจะมีการประชุมด่วนทุกครั้ง ในช่วงที่ตนเดินทางไปต่างประเทศ จึงทำให้ไม่สบายใจถอนตัวออกมาปัจจุบันไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยแล้ว
"ส่วนเจ้าของหุ้นวินด์ คนเดิม เราก็ไม่เคยพูดหรือเจรจาตกลงอะไรด้วย และเชื่อว่าหลักฐานเอกสารที่รวบรวมมาได้ ขณะมีความหนักแน่นสมบูรณ์ที่จะยืนยันความบริสุทธ์ของพ่อได้"
เมื่อถามว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับ นายณพ เพื่อเคลียร์ปัญหาเรื่องนี้บ้างหรือยัง นายเกษม และลูกชายทั้ง 2 ตอบเหมือนกันว่า ไม่ได้คุยอะไรกันนานแล้ว เขาไม่ได้เข้ามาที่บ้านนานแล้ว ที่ผ่านมาก็เคยมีคนกลาง ทั้งที่เป็น ส.ว. รวมไปถึงอดีตนายกฯ มาชวนไปพูดคุยเจรจากันนอกบ้าน แต่ก็ตกลงกันไม่ได้ และปัจจุบันณพก็ถูกเอาชื่อออกจากการเป็นผู้บริหารบริษัทในเครือไปหมดแล้ว เหลือบางบริษัทที่ยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นเท่านั้น แต่อีกไม่นานก็คงมีการเปลี่ยนออกเช่นกัน
เมื่อมีการถามนายเกษมว่า ตอนนี้รู้สึกยังไรกับลูกชายที่ชื่อ ณพ นายเกษมตอบว่า "ยอมรับว่าโกรธ เจอแล้วอยากจะเตะ(อมยิ้ม) แต่ยังไงขึ้นชื่อว่าเป็นลูก เขาก็เป็นลูกเราอยู่ดี ซึ่งตอนนี้ คิดอย่างเดียวว่า มันอาจจะเป็นกรรมเก่าที่เราเคยทำไว้ก็ได้ ทำให้ต้องมาเจอปัญหาอะไรแบบที่เป็นอยู่ในขณะนี้"
ขณะที่ตัวแทนทนายความสำนักงานกฎหมายเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ที่รับว่าความให้กับนายเกษม ระบุว่า สำหรับคดีที่นายเกษม ยื่นฟ้อง นายณพ และคุณหญิงกอแก้ว กรณีการใช้เอกสารปลอมในการโอนหุ้นวินด์ฯ ทีมทนายความจะใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อศาลตามขั้นตอนทางกฎหมายแน่นอน มั่นใจว่าหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ มีความหนักแน่นเพียงพอ โดยเฉพาะการตรวจสอบลายเซ็นของนายเกษมของจริง เพื่อนำไปใช้เปรียบเทียบกับลายเซ็นในเอกสารหลักฐานการโอนหุ้นต่างๆ ที่เป็นของปลอม ก็ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในไทยและต่างประเทศ ว่า ไม่ตรงกัน รวมไปถึงข้อสังเกต เงื่อนเวลา ความสมเหตุสมผลในการโอนหุ้นช่วงเวลาต่างๆ ด้วย
"แม้ศาลชั้นต้นจะตัดสินไม่รับฟ้อง แต่ศาลไม่ได้ระบุว่าลายเซ็นนายเกษมที่ปรากฎอยู่ในเอกสารเป็นของจริงแต่อย่างใด ซึ่งถ้าหากคดีนี้ นายเกษมเป็นฝ่ายชนะ ก็จะทำให้การโอนหุ้น ในช่วงที่ปรากฏชื่อนายเกษมเป็นผู้รับหุ้น และถูกโอนต่อไปยังบริษัทในฮ่องกง และการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นเป็นคุณหญิงกอแก้ว เป็นโมฆะ การโอนหุ้นที่เกิดขึ้นจริง จะมีเฉพาะแค่ ช่วงที่หุ้นวินด์ ถูกโอนมาอยู่ในบริษัทครอบครัวณรงค์เดช ช่วงแรกเท่านั้น"
เมื่อถามว่า ถ้าหุ้นกลับมาอยู่ในชื่อครอบครัว ณรงค์เดช จะยอมชำระเงินค่าซื้อหุ้น ให้กับเจ้าของเดิม หรือไม่ ตัวแทนทนายบอกว่า “โดยหลักการ เมื่อเราซื้อหุ้นมาแล้ว ก็ต้องจ่ายค่าหุ้นที่ค้างอยู่ให้เขา แต่สิ่งที่จะต้องไปเจรจาต่อรองกันก็คือค่าปรับ ที่มีตัวเลขค่อนข้างสูงอันนี้ เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปว่ากัน”
ต่อมาเวลา 16.00 น. วันที่ 12 ธันวาคม 2561 ทีมงาน นายณพ ณรงค์เดช ได้แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ต่อสื่อมวลชน ระบุว่า นายณพ ณรงค์เดช ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีนายกฤษณ์ และนายกรณ์ ณรงค์เดช แถลงข่าวในช่วงเช้าที่ผ่านมา ว่า เหตุการณ์ต่างๆ เป็นเรื่องในครอบครัวที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เรื่องบางเรื่องอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ส่วนบางเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกับตน แต่ไปพาดพิงถึงบุคคลที่สาม ซึ่งถ้าหากพูดไปอาจจะไปกระทบกระเทือนรูปคดีของคนอื่น จึงไม่เหมาะสมถ้าให้ข้อมูลออกไปในขณะนี้
"ส่วนกรณีที่หลายคนบอกว่า สงสารคุณพ่อ ทุกคนก็สงสารหมด ไม่มีใครอยากให้เกิด ซึ่งผมเองแต่งงานออกมาอยู่ข้างนอกนานแล้ว ยอมรับว่าไม่ได้อยู่กับคุณพ่อตลอดเวลา ผมเองก็รักคุณพ่อ และรู้ว่าคุณพ่อรักผมที่สุด ผมยังมั่นใจอย่างนั้น ถึงแม้จะมีความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น สำหรับความจริงนั้นวันหนึ่งไม่นานเกินรอ ทุกอย่างจะปรากฏออกมาเอง" นายณพ กล่าว
ข่าวยังระบุด้วยว่า ในส่วนของคดีที่นายเกษม ณรงค์เดช บิดาของนายณพ ฟ้องศาลอาญาให้ดำเนินคดีกับนายณพ และคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา (แม่ยายของนายณพ) ฐานร่วมกันปลอมลายเซ็นเพื่อโอนหุ้นนั้น ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลอาญารัชดาฯ ได้อ่านคำตัดสินคดีหมายเลขดำที่ อ.2497/2561 และคดีหมายเลขแดงที่ อ.3518/2561 พิพากษาให้ยกฟ้องนายณพกับคุณหญิงกอแก้วไปแล้ว เพราะโจทก์พิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ได้
ทั้งหมดนี่ คือความเคลื่อนไหวในกรณีศึกชิงหุ้นวินด์ และข้อพิพากของคนในครอบครัว ณรงค์เดช ที่ถูกเปิดเผยออกมาล่าสุดในช่วงเวลานี้
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/