ธกส.จับมือวว.ดึงเกษตรกรห่างสารเคมีใช้ปุ๋ยอินทร์คาด1ปีลดร้อยละ20
ธกส.พลิกแนวทางส่งเสริมเกษตรกรจับมือสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ฯหนุนชุมชนลดใช้ปุ๋ยเคมี ยึดต้นแบบอบต. 317 แห่งตั้งโรงปุ๋ยอินทรีย์ ลดต้นทุน ผลิตอาหารปลอดภัย คาดลดได้ร้อยละ 20 ภายใน 1 ปี
เร็วๆนี้ นายวินัย เครือตรีประดิษฐ์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เปิดเผยว่า ในการจัดทำยุทธศาสตร์แผนระยะยาวปี2555-2559 ของธกส. เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมาธกส.ได้ทำข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เพื่อเป็นการดูแลสิ่งแวดล้อม พัฒนาการเรียนรู้เสริมสร้างศักยภาพ ยกระดับชีวิตของชุมชน โดยมีแนวทาวความร่วมมือทางวิชาการในการวิจัยและพัฒนาปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง ลดการใช้ปุ๋ยเคมี ถ่ายทอดความรู้ให้กับชุมชนและศูนย์เรียนรู้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตระยะยาว
“จากการวิเคราะห์พบว่าเกษตรกรยังต้องการความรู้ในการจัดทำปุ๋ยที่มีคุณภาพเหมาะสมกับพืชแต่ละชนิดที่ปลูก โดยวัตถุดิบส่วนใหญ่มีอยู่ในท้องถิ่น ซึ่งวว.เป็นรัฐวิสาหกิจหนึ่งที่มีภารกิจถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตปุ๋ยให้แก่เกษตรกรและชุมชน ซึ่งมีผลงานวิจัยที่ได้ผ่านการทดสอบและสามารถปรับเปลี่ยนตามชนิดของพืชได้และได้มีการโอนให้กับชุมชนผ่านอบต.ทั่วประเทศจำนวน 317 แห่งซึ่งทำแล้วเห็นผลที่ชัดเจน”
รองผู้จัดการธกส. กล่าวต่อว่า การพัฒนาทรัพยากรและความร่วมมือกับวว.เป็นแนวทางที่สามารถขับเคลื่อนในการจัดการโรงปุ๋ยในชุมชนได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีต้นแบบอบต. และชุมชนอื่นๆโดยธกส.จะเป็นผู้สนับสนุนผลักดันเกษตรกรให้เห็นความสำคัญการลดต้นทุนจากการใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ เพื่อลดต้นทุนและดูแลสิ่งแวดล้อม โดยองค์กรที่เข้ามาทำงานร่วมกันอย่างเช่นวว.จะช่วยในด้านถ่ายทอดองค์ความรู้ ดูแลรักษาเครื่องจักรในการผลิต ติดตามประเมินผล ปรับปรุงสูตรปุ๋ยให้ตรงกับความต้องการของพืชแต่ละชนิด เพื่อทำและแสดงให้เกษตรกรเห็นความสำคัญในการผลิตอาหารปลอดภัยสู่ผู้บริโภคนำไปสู่การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในชุมชนที่ดี
“โครงการจะเริ่มได้เลย กลุ่มเป้าหมายคือชุมชนและศูนย์เรียนรู้ต้นแบบของธกส. ซึ่งคาดหวังว่าภายใน 1 ปีจะมีพื้นที่การเกษตรลดการใช้ปุ๋ยเคมีร้อยละ 20 ของผู้ที่เข้าร่วมรับการอบรม โดยธกส.จะสนับสนุนในส่วนของการแบ่งปันองค์ความรู้เกี่ยวกับบริหารจัดการ รวมทั้งการจัดทำบัญชีโรงปุ๋ยให้เกษตรกร พร้อมกับสนับสนุนค่าใช้จ่าย การจัดกระบวนการเรียนรู้ การจัดเวทีชุมชนเพื่อให้มีการพัฒนาที่เข้มแข็งยั่งยืนร่วมกันต่อไป” นายวินัย กล่าว