รู้จัก “Virtual Run” แพลตฟอร์มใหม่ระดมพลคนรักสุขภาพ ออกมา “วิ่ง”พร้อม “ทำดี”เพื่อสังคม
ขอเชิญชวนร่วมสมัครโครงการ “วิ่งเด็กหมวก” ได้ที่ www.vdm.run สมัคร 1 ท่าน มอบหมวกกันน็อค 1 ใบ ให้น้องในศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ม.ค 62 วิ่งด้วยใจ ในวันที่สะดวก ระหว่างวันที่ 14 ก.พ.-15 มี.ค 62 ค่าสมัคร 499 พร้อมรับเสื้อที่ระลึกสุดพิเศษ จัดส่งฟรี
หากจะพูดถึงกีฬาที่ทุกคนสามารถเล่นได้ทุกเพศ ทุกวัยและทุกคนเข้าถึงได้ กีฬาที่ว่าก็คือ “การวิ่ง” นั่นเอง เพราะเปฺ็นกีฬาที่ง่ายและทุกคนเข้าถึงได้ ทำให้ “การวิ่ง” เป็นกิจกรรมสำคัญเพื่อการระดมทุนในโครงการกุศลต่างๆ หรือการวิ่งเพื่อรวมพลังรณรงค์สร้างการตระหนักถึงปัญหาสังคมในด้านต่างๆ ทั้ง การศึกษา สุขภาพ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ และเป็นที่มาของการจัดกิจกรรมงานวิ่งต่างๆ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในไทยและทั่วโลก โดยในปี 2561 ประเทศไทยมีการจัดงานวิ่งทั้งหมดประมาณ 1,200 งาน ซึ่งมากสุดเป็นประวัติการและมีแนวโน้มสูงชึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบคือสำหรับนักวิ่งที่บางครั้งไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมนั้นๆ ได้ เพราะมีปัญหาเรื่องที่พักและการเดินทาง ความไม่สะดวกของเรื่องเวลา ทำให้มีการเกิดขึ้นของ Virtual Run หรือการวิ่งเสมือนจริงคู่ขนานไปกับการวิ่งในสนามจริง เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคนที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ก็สามารถวิ่งและได้รับเสื้อและเหรียญและได้มีส่วนร่วมทำบุญกับโครงการต่างๆ เหมือนการวิ่งในสถานที่จัดงานจริงได้
Virtual Run ตอบโจทย์ชีวิตสมัยใหม่
รายละเอียดในเรื่องนี้ ได้รับการเปิดเผยจาก นายกมล ศิริชัน รองประธานกรรมการฝ่ายบริหารงานองค์กร (COO - Chief Operating Officer) บริษัทไทยดอทรัน จำกัด (ไทยรัน) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสร้างฮับความสุขของนักวิ่ง และถือเป็นเจ้าแรกๆในประเทศไทยในการสร้าง platform เพื่อการวิ่งแบบ Virtual Run ได้ให้รายละเอียดเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นว่า Virtual Run ถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงกันในตอนนี้ เพราะป็นการวิ่ง ที่เราสามารถกำหนดได้เองว่า จะวิ่งที่ไหน เวลาใดก็ได้ ตามระยะทาง และระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแต่ละโครงการ โดยที่ผู้วิ่งสามารถจับระยะด้วยนาฬิกาหรือแอพพลิเคชั่นทางโทรศัพท์เพื่อส่งผลการวิ่งมาที่เว็บไซต์ของไทยรัน เพื่อรอรับเสื้อและเหรียญรางวัลได้เลย
“ความยืดหยุ่นดังกล่าว ทำให้ Virtual Run กลายเป็น Platform ในการทำกิจกรรมดีๆ เพื่อสังคม โดยเฉพาะการวิ่งเพราะการกุศล เพราะ Virtual Run สามารถตอบโจทย์การระดมพลทำดีเพื่อสังคม ทั้งเรื่องการศึกษา สาธารณะสุข สิ่งแวดล้อม ทำให้ Virtual Run เป็น “พื้นที่ตรงกลาง” ที่ให้ทุกคนที่รักสุขภาพมีส่วนในการแก้ปัญหาสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ เพราะรายได้จากการสมัครหลังจากหักค่าใช้จ่ายจะมีการนำไปบริจาคให้องค์กรการกุศลและผู้ด้อยโอกาสต่อไป”
COO ไทยรัน กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีการจัด Virtal Run มาแล้วประมาณ 1 ปีและเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอบโจทย์ชีวิตสมัยใหม่ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดย Virtual Run เป็นกิจกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งเรามีระบบรับสมัคร และการรายงานผลการวิ่งจากที่ต่างๆทั่วประเทศด้วยระบบที่ทันสมัยของเทคโนโลยี AI/Big Data และบวกความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาตัวเองและสังคมของผู้วิ่งที่ต้องการทำตามเป้าหมายการวิ่งที่กำหนดให้สำเร็จ
“ การรับสมัครงานวิ่งแรกๆที่นำมาแนวคิด Virtual run มาใช้ในประเทศไทย มาจากไอเดียของการจัดกิจกรรมงานวิ่งคู่ขนานกับงานวิ่งใหญ่ๆ เช่น บอสตัน มาราธอน, ลอนดอน มาราธอน เราก็เลยอยากให้คนมาวิ่งคู่ขนานกัน เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้คนออกมาออกกำลังกาย ปลดล็อคเรื่องความไม่สะดวกในเรื่องเวลาและสถานที่ เป็นการเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ห่างไกล สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการต่างๆได้ เพราะเมื่อวิ่งเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนด คนเหล่านี้ก็จะได้รับเสื้อและเหรียญ เหมือนกับคนที่มาวิ่งในงานด้วย” COO ไทยรัน กล่าว
Virtual Run และการสร้าง Impact ต่อสังคม
สำหรับตัวอย่างความสำเร็จของ Virtual Run ที่เป็น platform การออกกำลังกายรูปแบบใหม่ที่ผู้คนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลง (Make a different) ต่อสังคมได้นั้น COO ไทยรัน กล่าวขยายความในเรื่องนี้ว่า โครงการที่ไทยรันได้ดำเนินการและประสบความสำเร็จ เช่น งานวิ่ง Virtual Run วิ่งเพื่อผืนป่า หรือ “Run For Forest” ซึ่งเป็นงานวิ่งขนานไปกับงาน “Run For Home of Wild Life ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 25,000 คน โดยทุกการสมัครร่วมบริจาค 100 บาท ให้มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ไว้ทำกิจกรรมเพื่อผืนป่า โดยงาน Virtual Run ดังกล่าว มียอดบริจาค 2,639,800 บาท
นอกจากนี้ยังมีงานอื่นที่ประสบความสำเร็จอีกเช่น Run to The Moon ที่บริษัทนกแอร์เป็นผู้แคมเปญ ซึ่งเป็น Virtual run วิ่งรวมกันไปจากโลกไปให้ถึงดวงจันทร์ ระยะทางรวม 384,400 กิโลเมตรซึ่งหากสามารถวิ่งตามเป้าหมายได้ นกแอร์จะบริจาคเป็นเงิน 384,400 บาท ให้กับ "กองทุนเพื่อการพัฒนาการเด็ก มูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์“ แต่หากไม่ถึงระยะทางที่กำหนดไว้จะบริจาคครึ่งหนึ่ง คือ 192,200 บาท ปรากฎว่านักวิ่งและผู้รักการออกกำลังกายทั่วประเทศจำนวน 2,395 คน สามารถทำภารกิจวิ่งรวมกัน 384,400 กม. ได้สำเร็จ รวมถึงมีการจัดงาน Virtual Run เพื่อวิ่งขนานกับงานวิ่งระดับโลก เช่น Boston, London, Tokyo , New York และ Berlin Marathon. โดยรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว ได้มีการบริจาคให้องค์กรการกุศล เข่น มูลนิธิหนึ่งคนให้หลายคนรับ : เพื่อชีวิตใหม่หัวใจเด็ก เป็นต้น
“Virtual Run เป็นเทรนด์การออกกำลังกายของคนยุคใหม่ โดยสิ่งที่ทำให้ Virtual Run เป็นที่นิยม คือ 1. ธีมของการจัดงานที่มีความน่าใจ เช่นการวิ่งคู่ขนานกับงานใหญ่ๆ หรืองานการกุศล/กิจกรรมสาธารณะประโยชน์ที่ผู้วิ่งมีความรู้สึกห่วงใยและต้องการมีส่วนร่วมเพื่อทำให้ดีขึ้น 2. แบบเสื้อที่สวยและบอกเรื่องราวของงานนั้นๆ จนเป็นที่โดนใจ ก็มีส่วนที่ทำให้คนอยากสมัครเข้ามาวิ่ง 3. Virtual Run มีสัญญาใจของการสมัครที่มีการตั้งเป้าหมายระยะทางวิ่ง ซึ่งผู้สมัครต้องสัญญากับตัวเองว่าจะต้องวิ่งให้ได้ เหล่านี้ทำให้ Virtual Run มีความสนุกและได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคมด้วย”
คุณกมล กล่าวต่อไปว่า ในฐานะที่ไทยรันเป็น Platform การสร้างความสุขให้นักวิ่ง ซึ่ง Platform การรับสมัครงานวิ่งของเรามีประสิทธิภาพมากเพราะไม่มีการล่ม เพราะมีการใช้เทคโนโลยี Server Based Containner ที่ Server สามารถโคลนตัวเองเพื่อรองรับการทำธุรกรรมขนาดใหญ่ โดยทางบริษัทไม่ได้ทำหน้าที่เป็น Organizer จัดงานวิ่ง แต่เราเป็นบริษัทพัฒนา Technology และ Service ทำให้เรามีความตั้งใจที่จะใช้ Virtual Run เป็น Platform สำคัญในการกระตุ้นให้คนออกกำลังกายและทำดีเพื่อสังคม
“เรามองว่าการที่คนเรามีสุขภาพที่ดี ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญด้านหนึ่งในการพัฒนาประเทศ เพราะ “คน” เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของชาติ เพราะถ้าคนมีสุขภาพแข็งแรงก็จะมีพลังบวกในการทำสิ่งต่างๆ อีกทั้ง Virtual Run ยังเป็นโครงการที่นำเงินที่สมัครไปบริจาคเพื่อพัฒนาสังคมในเวลาเดียวกัน ดังนั้น Virtual Run จึงเป็นเรื่องที่ดีต่อทุกคน ที่ได้ทั้งสุขภาพที่ดีและได้ขับเคลื่อนสังคมให้ดีขึ้นด้วย”
ปัจจุบันไทยรันจัดทำโครงการ Virtual Run กว่่า 10 โครงการ โดยหลักการทำงานคือ เป็นการเปิด platform ให้คนมาสมัคร สำหรับโครงการนำเงินไปบริจาคในโครงการต่างๆ นั้น ไทยรันจะเข้าไปศึกษาปัญหาต่างๆ ทั้ง การศึกษา สังคม สาธารณสุข และ สิ่งแวดล้อม และดูว่าองค์ไหนทำงานประเด็นนี้อยู่และอยากได้รับความช่วยเหลือด้านใดบ้าง จากนั้นก็จะนำมาพิจารณา เพื่อสร้าง Theme และ Storytelling ในการเชิญชวนคนเข้ามาวิ่ง เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาร่วมวิ่งได้สุขภาพที่แข็งแรงและได้กุศลไปด้วย
Virtual Run #วิ่งหมวกเด็ก ภารกิจใหญ่เพื่อเด็กไทยล้านชีวิต
ทั้งนี้โครงการที่ไทยรันกำลังผลักดันอยู่ในขณะนี้ คือ “โครงการหมวกกันน๊อคล้านใบ เพื่อเด็กไทยล้านชีวิต” ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่าง มูลนิธิเมาไม่ขับ และชมรมคนห่วงหัว และไทยรัน ซึ่งถือเป็นโครงการที่มีความสำตัญอย่างมีนัยยะสำหรับสังคมไทยอย่างมาก เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก โดย “หมวกกันน็อค” เป็นอุปกรณ์สำคัญที่สามารถช่วยลดการบาดเจ็บของศรีษะและสมองซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของทุกคนได้
“โครงการนี้เราจะมุ่งเป้าไปยังเป้าหมายกลุ่ม “เด็กเล็ก” ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ การมอบหมวกกันน็อคให้กับเด็กเล็ก จะมีผลกระทบที่สำคัญต่อสังคมอย่างมาก โดยในระยะสั้นถือเป็นการช่วยปกป้องและรักษาลชีวิตเด็กเหล่านี้ ในระยะยาว คือการปลูกฝังวินัยการใช้รถใช้ถนนของคนในชาติ เพราะเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ วัฒนธรรมสวมหมวกกันน็อคเพื่อรักษาชีวิตก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยผู้ที่สนใจสามารถสมัครโครงการ Virtual Run #วิ่งเด็กหมวก Run For Kids ได้ในราคา 499 บาท โดยทุกการสมัครเท่ากับการบริจาคหมวกันน็อคให้กับเด็กๆคนละ 1 ใบ พร้อมรับเสื้อโครงการ สมัครได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ www.vdm.run วิ่ง 5 กิโลเมตร ดีเดย์วันที่ 14 ก.พ. - 15 มี.ค. 2562 โดยจะมีการนำหมวกกันน็อคไปแจกทั่วประเทศ จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยทุกคนเข้ามาสมัครกันมากๆ เพื่อร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมร่วมกัน”
Virtual Run #วิ่งเด็กหมวก ลดความเสี่ยงเด็กเจ็บตายบนท้องถนน
นายดำรง พุดตาล ประธานมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนปีละ 24,000 คน โดย 80% เกิดจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ มีการสำรวจพบว่ามีเด็กก่อนวัยเรียนจำนวน 2.45 ล้านคน โดยสารรถจักรยานยนต์เพื่อไปโรงเรียน โดยในจำนวนนี้มีเด็กที่สวมหมวกกันน็อคเพียง 7% หรือเพียงประมาณ 1.7 แสนคน เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น้อยมาก ทำให้มีเด็กไทยเป็นล้านคนต้องมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต บาดเจ็บ พิการ จากอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งเป็นเรื่องที่เราทุกคนสามารถป้องกันการบาดเจ็บสูญเสียนี้ได้ หากเด็กๆได้ใส่หมวกกันน็อค ก็จะสามารถลดความสูญเสียได้
“เด็กไทยมีความเสี่ยงทุกวัน แต่ปัจจุบันยังไม่มีองค์กรใดมาเป็นเจ้าภาพในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ดังนั้น เราเลยคิดว่าหากจะแก้ปัญหานี้อย่างยั่งยืน ต้องเริ่มที่เด็กดีกว่า ถ้าเด็กได้มีโอกาสใส่ หมวกกันน็อคเพื่อปกป้องตัวเองตั้งแต่เด็กๆ เมื่อโตขึ้นเขาก็จะเห็นประโยชน์ และสวมหมวกโดยที่ไม่ต้องมีใครบังคับ เราจึงต้องการหาหมวกให้เด็ก เพื่อทั้งเป็นการสร้างความปลอดภัยให้พวกเขารวมถึงเพื่อเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมการขับขี่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นในสังคมไทยในอนาคตด้วย” นายดำรง กล่าว
ประธานมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวต่อไปว่า ปัญหานี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นปัญหาร่วมกันของสังคมไทย ดังนั้น ต้องมีจุดเริ่มต้นในการแก้ปัญหา ซึ่งเราก็หวังว่าการวิ่ง Virtual Run #วิ่งเด็กหมวก ครั้งนี้จะเป็นเวทีหนี่งที่ให้ทุกคนมามีโอกาสแก้ปัญหาร่วมกัน เพราะเด็กในวันนี้คืออนาคตของชาติ จึงอยากให้คนออกมาร่วมกันวิ่งเยอะๆ เพราะ ทุก 1 การสมัคร มีค่าเป็นหมวกกันน็อค 1 ใบ ที่เราสามารถนำไปช่วยปกป้องชีวิตเด็กน้อยได้ อุบัติเหตุไม่ใช่โชคชะตา แต่เป็นเรื่องที่สามารถป้องกันได้ ถ้าทุกคนร่วมมือกัน
Virtual Run #วิ่งเด็กหมวก เพราะ “หมวกกันน็อค” เป็น “วัคซีน” รักษาชีวิตเด็กจากอุบัติเหตุได้
นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า โครงการแจกหมวกกันน็อคให้กับเด็กเล็ก ถือว่าเป็นมอบวัคซีนในการป้องกันการบาดเจ็บ/เสี่ยงตายให้กับเด็ก เพราะเด็กไม่สามารถป้องกันตัวเองจากอุบัติเหตุได้ ที่ผ่านมาจะเห็นว่าทุกหน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุขและอื่นๆให้ความสำคัญเรื่องวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ซึ่งพ่อแม่ก็ให้ความร่วมมือพาลูกมาฉีดวัคซีนกันอย่างดี อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา วัคซีนเหล่านี้ไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กๆได้ แต่ “หมวกกันน็อค” สามารถช่วยได้ แต่สังคมไทยกลับยังไม่ให้ความสำคัญเรื่องนี้ และยังเห็นว่าเรื่องอุบัติเหตุเป็นเคราะห์กรรมซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เพราะอุบัติเหตุสามารถป้องกันได้และผู้ใหญ่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ และให้ความปลอดภัยต่อเด็กๆ โดยก่อนให้เด็กขึ้นมอเตอร์ไซด์ต้องมีการใส่หมวกให้เด็กก่อน
“เรื่องนี้เป็นเรื่องความเป็นความตายของเด็กๆ ที่ยังไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ภาพที่เด็กๆซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์พ่อแม่โดยไม่มีหมวกกันน็อคไม่ควรมีอยู่ในสังคมไทยอีกต่อไป เพราะเป็นเรื่องที่หดหู่มาก ที่มีการปล่อยให้เด็กต้องเสี่ยงชีวิตแบบนี้ เรื่องนี้ต้องสร้างเป็นวัฒนธรรมใหม่ของสังคมไทย เราทุกคนต้องช่วยกันและไม่ควรให้เด็กต้องตกเป็นเหยื่ออุบัติเหตุบนท้องถนน ดังนั้น จึงอยากให้คนไทยมาสมัครวิ่งโครงการนี้ให้มากที่สุด การสมัคร #วิ่งเด็กหมวก ด้วยเงิน 499 บาท จึงถือว่าถูกมาก เพื่อรักษาชีวิตของคน และเรายังได้สุขภาพที่ดีจากการออกไปวิ่งด้วย” นพ.แท้จริง กล่าว