4หมื่นล้าน! ลูกชาย‘คณะราษฎร์’ฟ้องพี่ชายต่างแม่ ขอแบ่งมรดกที่ดินกลางกรุง
อดีตรองเจ้ากรมยุทธการ ทบ. ลูกชายขุนนิรันดรชัยหนึ่งใน“คณะราษฎร์” ฟ้องพี่ชายต่างมารดาขอแบ่งมรดกที่ดินหลายหมื่นล้านใจกลางกรุงของพ่อ ศาลนัดพิจารณากลางเดือน ก.พ.ปีหน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2561 เวลา 11.00 น. ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก พล.ต.สรภฎ นิรันดร อายุ 74 ปี อดีตรองเจ้ากรมยุทธการทหารบก บุตรชายขุนนิรันดรชัย หรือ พ.ต.สเหวก นิรันดร เจ้าของที่ดินย่านธุรกิจใน กทม.กว่า 90 แปลง มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายธรรมนูญ นิรันดร พี่ชายต่างมารดา , นายธรรมรัชต์ นิรันดร บุตรชายนายธรรมนูญ ,นางเยาวนี นิรันดร บุตรสาวนายธรรมนูญ และบริษัท 31 สาธร จำกัด เป็นจำเลยที่ 1-4 เรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรม แบ่งทรัพย์มรดก จำนวนทุนทรัพย์ 59,927,678 บาท ฯลฯ
โดยโจทก์บรรยายฟ้องสรุปความว่า โจทก์เป็นบุตรของ พ.ต.สเหวก นิรันดร หรือขุนนิรันดรชัย กับ นางแสงอรุณ สิงหะเสนี ภรรยาที่มิได้จดทะเบียนสมรส แต่โจทก์เป็นบุตรที่บิดาให้การรับรองบุตรแล้ว จึงเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของขุนนิรันดรชัย บิดา ตามกฎหมาย โดยขุนนิรันดรชัย มีภรรยาทั้งหมด 4 คน มีบุตรรวม 13 คน แต่เดิม คุณหญิงจรูญ นิรันดร ภรรยาที่จดทะเบียนกับขุนนิรันดรชัย จะเป็นผู้จัดการมรดกและแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินทั้งหมด ตามคำสั่งศาลแพ่ง
แต่ต่อมาปรากฏว่าคุณหญิงจรูญ ผู้จัดการมรดกได้เสียชีวิตลง โดยก่อนเสียชีวิตคุณหญิงจรูญได้มอบหมายและแต่งตั้งให้ นายธรรมนูญ จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่เป็นผู้จัดการมรดก ทรัพย์มรดกของขุนนิรุนดรชัย บิดาโจทก์ แต่ปรากฏข้อเท็จจริงในเวลาต่อมาว่า นายธรรมนูญ จำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โดยร่วมกับบุตรชายและ บุตรสาว จำเลยที่ 2,3, และ จำเลยที่ 4 กระทำความผิดเบียดบัง ยักยอกเอาทรัพย์มรดกเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม
กล่าวคือ เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2560 นายธรรมนูญ จำเลยที่ 1ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 2 แปลง ย่านถนนพระทิตย์ แขวงวัดชนะสงคราม เขตพระนคร กทม.มูลค่าประมาณ 85 ล้านบาท ซึ่งเป็นของทรัพย์มรดกที่ยังจัดการแบ่งไม่เสร็จสิ้นให้กับนายธรรมรัชต์ นางเยาวนี บุตรชายและบุตรสาวของจำเลยที่ 1 และ บริษัท 31 สาธร จำกัด จำเลยที่ 4โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยชอบธรรม ต่อมา เมื่อวันที่ 7 ก.ย.2560 นายธรรมนูญ จำเลยที่ 1ได้แสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับจำเลยที่ 4 โดย นายธรรมนูญ ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินย่านสาทร เขตบางรัก กทม. จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 2 งาน 18 ตร.วา ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ยังจัดการแบ่งทไม่แล้วเสร็จให้กับจำเลยที่ 4 เพื่อชำระค่าหุ้น
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2559 นายธรรมนูญ จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 229 ย่านดอนเมือง จำนวน 187 ไร่ ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ยังแบ่งไม่แล้วเสร็จ ให้แก่บุคคลภายนอกเป็นเงินจำนวน 647,015,000 บาท ซึ่งนายธรรมนูญ จำเลยที่ 1 จึงต้องนำเงินมาแบ่งปันให้แก่โจทก์ด้วย คิดเป็นเงินจำนวน 23,107,678 บาท
การกระทำของนายธรรมนูญ นายธรรมรัชต์,นางเยาวนี จำเลยที่ 1-3 ตลอดจนกรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท 31 สาธร จำกัด จำเลยที่4 ทำให้กระทบต่อประโยชน์ของทายาทคนอื่นๆในวงศ์ตระกูลด้วย โจทก์จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้กลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกของตระกูล เพื่อแบ่งปันให้แก่โจทก์ด้วย จำนวน 1 ใน 14 ส่วนของทรัพย์มรดกทั้งหมด และมิให้พวกจำเลยได้รับมรดกของขุนนิรันดรชัย บิดาโจทก์ด้วย
ท้ายคำฟ้องโจทก์ยังระบุว่า โจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีกับ จำเลยที่ 1 ฐานยักยอกทรัพย์และให้ดำเนินคดีกับ จำเลยที่ 2,3,4 ฐานเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานยักยอกหรือรับของโจทก์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง แล้ว ศาลแพ่งได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ พ.6550/2561 และนัดพิจารณาคดีครั้งแรก ในวันที่ 18 ก.พ.2562 เวลา13.30 น.
ภายหลัง พล.ต.สรภฏ กล่าวว่า ปัจจุบัน นายธรรมนูญ จำเลยที่ 1พี่ชายต่างมารดา ซึ่งเป็นผู้จัดการกองมรดกมีอายุ 87 ปีแล้ว ขณะนี้มีอาการป่วยต้องมีคนคอยช่วยเหลือดูแล ซึ่งทรัพย์มรดกของขุนนิรันดรชัย บิดาโจทก์ที่ยังไม่ได้จัดการแบ่งให้ทายาทนั้น ที่สืบพบในตอนนี้ มีราคาประเมินประมาณ 40,000 ล้านบาท ตนประสงค์ที่จะให้ทายาททุกคนได้รับการแบ่งมรดกไปตามความเหมาะสม จึงมาขอพึ่งบารมีศาลในการจัดแบ่งกองมรดกของบิดา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับขุนนิรันดรชัย หรือ พ.ต.สเหวก นิรันดร เป็นหนึ่งในคณะราษฎร์ที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2475 ด้วย