ผลสำรวจ WEF ชี้ชัด ประเทศไทยก้าวสู่ความเป็น 4.0 เด่นชัด
ผลสำรวจ WEF ชี้ชัด ประเทศไทยก้าวสู่ความเป็น 4.0 อย่างเด่นชัด ความสามารถทางการแข่งขันขยับขึ้นมาเป็นลำดับที่ 38 จากปีที่แล้ว สิ่งที่ต้องพัฒนาคือด้านแข่งขันภายในประเทศ รั้งอันดับ 92 ของโลก
เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2561 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการของ WEF (World Economic Forum) ได้จัดเผยแพร่รายงานดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก 4.0 (Global Competitiveness Index: GCI 4.0) ซึ่งเปรียบเทียบความสามารถการแข่งขันของ 140 ประเทศทั่วโลก ผลสำรวจในปีนี้ชี้ชัด ประเทศไทยก้าวสู่ความเป็น 4.0 มากขึ้น โดยทาง WEF ได้ปรับเปลี่ยนเกณฑ์และวิธีการคำนวณดัชนีความสามารถในการแข่งขันใหม่ สะท้อนภาพยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 หรือ The Fourth Industry Revolution ให้มากขึ้น ในปีนี้ประเทศที่ได้อันดับหนึ่งถึงสิบ คือ สหรัฐอเมริกา ตามมาด้วย สิงคโปร์ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง สหราชอาณาจักร สวีเดน และ เดนมาร์ก ตามลำดับ โดยประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 38 โดยมีคะแนน 67.5 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน
รองศาสตราจารย์ ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการของ WEF (World Economic Forum) ในประเทศไทย เผยว่า ทางคณะฯ เป็นผู้ทำการเก็บข้อมูลเชิงลึก จากแบบสอบถามกับผู้บริหารระดับสูง ขององค์กรขนาดใหญ่และขนาดย่อม ในทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม ตามเกณฑ์ที่กำหนด โดย WEF นำไปคำนวณดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก โดยมีตัวชี้วัด 98 ตัว จัดแบ่งเป็น 12 ด้าน ที่สะท้อนภาพความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของประเทศด้วยเกณฑ์และวิธีในการคำนวณใหม่ของ WEF ที่ได้ออกแบบให้สะท้อนภาพของการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 มากขึ้น ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 38 ด้วยคะแนน 67.5 ซึ่งนับว่าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากปีที่ผ่านมา (โดย WEF ได้นำเกณฑ์และวิธีการคำนวณตามแนวทาง GCI 4.0 ไปใช้กับข้อมูลของปี 2017) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 40 และมีคะแนน 66.3 แสดงให้เห็นว่าเมื่อพิจารณาจากเกณฑ์และวิธีการคำนวณโดยใช้เกณฑ์ 4.0 แล้ว ประเทศไทยได้ก้าวสู่ความเป็น 4.0 มากขึ้น
โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า คะแนนและอันดับของประเทศนั้น หากเปรียบเทียบกับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก จะพบว่า ด้านที่มีอันดับที่ดีและส่งผลบวกต่อดัชนีความสามารถทางการแข่งขันโดยรวม ได้แก่ ด้านระบบการเงิน (Financial system) ที่ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 14 ของโลก และได้รับคะแนน 84.19 (จาก 100) โดยในด้านระบบการเงินนั้นมีปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความพร้อมของเงินทุน การให้สินเชื่อ ผลิตภัณฑ์การเงินประเภทต่างๆ รวมทั้งระบบในการลดและกระจายความเสี่ยงต่างๆ ทางด้านการเงิน ตัวอย่างของปัจจัยต่างๆ ภายใต้ด้านการเงิน ประกอบด้วย วงเงินสินเชื่อที่มีให้กับภาคเอกชน หรือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจขนาดกลางและย่อม หรือ ความพร้อมทางด้านการเงินในการสนับสนุนต่อ Startups หรือ เสถียรภาพของธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น นอกจากนี้ ด้านขนาดของตลาด (Market size) ประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 18 ของโลก และได้รับคะแนน 74.88 (จาก 100) โดยในด้านขนาดของตลาด จะสะท้อนให้เห็นขนาดของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ที่บริษัทต่างๆ ในประเทศไทยสามารถเข้าถึง โดยเป็นผลรวมของการบริโภคภายในประเทศ การลงทุนและการส่งออก
สำหรับด้านที่ประเทศไทยยังจะต้องพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่ความเป็น 4.0 ให้มากขึ้นนั้น ประกอบไปด้วย ด้านการแข่งขันภายในประเทศ (Product market) ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่อันดับที่ 92 ของโลก ด้วยคะแนน 53.4 โดยในด้านนี้จะเกี่ยวข้องกับระบบการแข่งขันภายในประเทศที่เปิดให้บริษัทต่างๆ ได้มีโอกาสในการแข่งขันอย่างเท่าเทียม รวมทั้งการปิดกั้นและความซับซ้อนของกฎระเบียบต่างๆ โดยการเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันของบริษัทต่างๆ และ กฎระเบียบที่ไม่ซับซ้อนและไม่ปิดกั้นต่อการแข่งขัน ย่อมจะนำไปสู่นวัตกรรมในด้านต่างๆ มากขึ้น นอกจากนี้ ด้านการศึกษาและทักษะ (Education & skills) ของประเทศไทย ก็ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ที่ 66 ของโลก ด้วยคะแนน 62.99 เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่ม ASEAN+3 (ยกเว้น Myanmar ที่ไม่มีข้อมูล) ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับประเทศไทยอย่างสูงนั้น ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 6 จาก 12 ประเทศ โดยเป็นรองประเทศ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และ จีน ซึ่งถือเป็นอันดับที่คงที่ติดต่อกันมาหลายปี ไม่ว่าจะใช้เกณฑ์และวิธีการวัด แบบใด นับว่าเป็นการสะท้อนสถานะทางการแข่งขันที่มั่นคงของไทยในเวที ASEAN+3 ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ การสำรวจความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ โดย WEF (World Economic Forum) หรือ ดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก (Global Competitiveness Index: GCI 4.0) ซึ่งเป็นมาตรวัดที่สำคัญที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเฝ้ารอและจับตาดู เนื่องด้วย นอกจากจะเป็นการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ รวมถึงยังสามารถชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นและประเด็นที่ควรต้องพิจารณา เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต ซึ่งในประเทศไทย คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นพันธมิตรที่ร่วมพัฒนาและเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว นอกจากนี้ผลการศึกษาทางด้านวิชาการยังพบความสัมพันธ์ในเชิงบวก ระหว่างระดับความสามารถในการแข่งขัน และระดับรายได้ของประชากรในแต่ละประเทศ ทุกประเทศที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 20 อันดับแรกของ GCI 4.0 ในปี 2018 เป็นประเทศที่มีระดับรายได้ของประชากรในระดับที่สูง (ระดับรายได้ของประชากรวัดจาก Gross National Income per Capita) สำหรับประเทศที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 40 อันดับแรกของโลกตามแนวทาง GCI 4.0 มีเพียงประเทศมาเลเซีย (อันดับที่ 25) จีน (อันดับที่ 28) และประเทศไทย (อันดับที่ 38) เท่านั้นที่ไม่ได้มีรายได้ต่อประชากรในระดับที่สูง
การจัดอันดับเปรียบเทียบในภาพรวม ของความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศที่ปรากฏใน GCI 4.0 ประกอบไปด้วย 12 ด้าน (Pillars) ที่รวมเข้าเป็นดัชนีองค์รวมดังกล่าว ด้านสภาพแวดล้อมหน่วยงาน (Institutions) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ด้านการประยุกต์ใช้ ICT (ICT Adoption) ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Stability) ด้านสุขภาพ (Health) ด้านการศึกษาและทักษะ (Education and Skills) ด้านการแข่งขันภายในประเทศ (Product Market) ด้านตลาดแรงงาน (Labor Market) ด้านระบบการเงิน (Financial System) ด้านขนาดของตลาด (Market Size) ด้านการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ (Business Dynamism) และ ด้านความสามารถทางนวัตกรรม (Innovation Capability)