3องค์กร ปชช.จี้"ประยุทธ์"หาใครฆ่า"เกียรติศักดิ์"เหยื่อตัดตอน หลังศาลฎีกาพลิกยกฟ้อง6ตร.
3 องค์กรประชาชน ออกแถลงการณ์ ขอให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเร่งปฏิรูปงานสอบสวน ให้พนักงานอัยการ และฝ่ายปกครองร่วมตรวจที่เกิดเหตุสอบสวนคดีสำคัญ และผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจในจังหวัด
สืบเนื่องมาจากกรณีที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2561 ยกฟ้องกลุ่มตำรวจฝ่ายสืบสวนจังหวัดกาฬสินธุ์ 6 คนที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษจับกุมกรณีร่วมกันฆ่าแขวนคออำพรางศพนายเกียรติศักดิ์ ถิตย์บุญครอง เมื่อปี 255 และอัยการได้สั่งฟ้องนำสืบพยานจนศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาประหารชีวิตและจำคุกจำเลยแต่ละคนตามพฤติการณ์กระทำผิดนั้น
เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจและองค์กรสิทธิมนุษยชนเห็นว่า คำพิพากษายกฟ้องที่สร้างความสะเทือนใจให้กับญาติพี่น้องของนายเกียรติศักดิ์ฯ และประชาชนผู้รักความยุติธรรมทั่วประเทศดังกล่าว ได้สะท้อนถึงจุดอ่อนของระบบตำรวจและกระบวนการยุติธรรมอาญาไทยที่ต้องได้รับการปฏิรูปเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนตามที่มีเสียงเรียกร้องตลอดมาอย่างเร่งด่วน
เนื่องจาก การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 6 คนนั้น เป็นการยืนยันว่า คดีมีพยานหลักฐานชัดเจนว่าตำรวจกลุ่มดังกล่าวได้ร่วมกันฆ่าและอำพรางศพนายเกียรติศักดิ์ฯ จริงอย่างปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น
แต่การที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องด้วยเหตุผลว่า “คดีมีพยานเพียงปากเดียวและไม่น่าเชื่อถือ” มีเหตุอันควรสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทุกคนนั้น แม้จะเป็นการให้เหตุผลตามหลักกระบวนการยุติธรรมสากลในเรื่องที่จำเลยจะไม่ถูกลงโทษโดยปราศจากข้อสงสัยว่าเป็นผู้กระทำผิด แต่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษโดยยึดมาตรฐานการพิจารณาเช่นเดียวกับศาลฎีกา ย่อมหมายความว่า ทั้งสองศาลแน่ใจว่าจำเลยทั้ง ๖ คนกระทำความผิด หากแต่ศาลฎีกามีความเห็นแตกต่างว่ายังไม่มีความชัดเจนเพียงพอโดยปราศจากข้อสงสัย
แม้คำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งถือว่าถึงที่สุดแล้วจะทำให้จำเลยซึ่งเป็นตำรวจทั้ง 6 ไม่ต้องรับโทษตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ไปทันที สามารถรับราชการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้รักษากฎหมายได้ตามปกติ แต่รัฐบาลก็ต้องมีคำตอบต่อผู้เสียหายและครอบครัวรวมทั้งประชาชนว่า “ใครเป็นคนฆ่านายเกียรติศักดิ์ฯ และนำไปแขวนคออำพรางศพ และจะมีกระบวนการใดในการสืบสวนสอบสวนนำตัวกลุ่มคนร้ายผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายต่อไปอย่างไร"
รวมทั้งเร่งสอบสวนคดีฆาตกรรมอำพรางกว่า 20 ศพในจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งบางศพเป็นการฆ่าแขวนคอลักษณะเดียวและช่วงเวลาเดียวกันอีก 2-3 ศพ รวมทั้งคดีฆาตกรรมอำพราง 2,500 ศพ ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศในช่วงเวลาการปราบยาเสพติดปี 2557 และยังอยู่ในอายุความด้วย ปัญหาการฆาตกรรมอำพรางดังกล่าว ยังได้สะท้อนถึงปัญหาตำรวจและกระบวนการยุติธรรมไทยที่มีจุดอ่อนสร้างความเดือดร้อนร้ายแรงต่อประชาชนอย่างยิ่ง เนื่องจากรัฐไม่สามารถควบคุมตำรวจจำนวนมากมิให้กลายเป็นผู้ร้ายก่ออาชญากรรมเสียเองตามที่ปรากฏเป็นข่าวมากมายได้
นอกจากนี้เมื่อเกิดการกระทำความผิดไม่ว่าจะเป็นการประทุษร้ายต่อชีวิตและสิทธิเสรีภาพของประชาชน ก็เป็นเรื่องยากที่ผู้เสียหายหรือแม้แต่รัฐจะสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานนำไปพิสูจน์ให้ศาลลงโทษอย่างปราศจากข้อสงสัยได้ เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุ ก็ไม่มีหน่วยราชการอื่นแม้แต่อัยการผู้มีหน้าที่ฟ้องคดีสามารถเข้าไปตรวจสอบรวมรวมพยานหลักฐานได้ แม้แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็มีอำนาจสอบสวนหลังจากเกิดเหตุนานหลายปี
จุดอ่อนในระบบงานสอบสวนที่ถูกผูกขาดและขาดการตรวจสอบจากภายนอกดังกล่าว ทำให้คนไทยต้องอยู่กันอย่างหวาดผวาจากการใช้อำนาจโดยมิชอบของตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นการจับกุม ควบคุมตัว และการสอบสวนที่ถูกบิดเบือนทำลายพยานหลักฐานได้ ผู้คนไม่มีความเชื่อมั่นว่า กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมจะสามารถเป็นหลักประกันคุ้มครองความปลอดภัยในสิทธิเสรีภาพให้กับประชาชนทุกคนได้อย่างแท้จริง
จึงขอเรียกร้องให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรีเร่งแก้ปัญหาตำรวจและกระบวนการยุติธรรมอย่างเร่งด่วนดังนี้
1. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในส่วนที่เกี่ยวกับการสอบสวน
1.1 ให้พนักงานอัยการ นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้ได้รับมอบหมายมีอำนาจตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีสำคัญหรือเมื่อได้รับการร้องเรียน โดยพนักงานสอบสวนมีหน้าที่รายงานให้พนักงานอัยการและนายอำเภอทราบทันทีที่ได้รับแจ้งเหตุ
1.2 การแจ้งข้อหาหรือเสนอศาลออกหมายจับต้องให้พนักงานอัยการตรวจพยานหลักฐานและให้ความเห็นชอบ โดยมั่นใจว่า เมื่อแจ้งข้อหาแล้ว จะสามารถสั่งฟ้องพิสูจน์ให้ศาลพิพากษาลงโทษได้เท่านั้น
1.3 กรณีที่มีปัญหาตำรวจไม่รับคำร้องทุกข์หรือคำกล่าวโทษ ให้ผู้เสียหายหรือผู้กล่าวโทษสามารถแจ้งให้พนักงานอัยการดำเนินการสอบสวนได้
2. แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ และระเบียบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย รักษากฎหมายและปกครองตำรวจในจังหวัด มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายหัวหน้าสถานีและสั่งเลื่อนเงินเดือนตำรวจในจังหวัดเมื่อได้รับความเห็นของ กต.ตร.จังหวัด โดยเปลี่ยนชื่อเป็น “คณะกรรมการกิจการตำรวจจังหวัด” แทน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นายกรัฐมนตรีจะให้ความใส่ใจในการแก้ไขปัญหาในกระบวนการยุติธรรมอันสำคัญ ปฏิรูปตำรวจ และการสอบสวนนี้อย่างจริงจัง ด้วยสิทธิในการเข้าถึงความยุติธรรมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญและหลักสากล
เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร.)
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.)