ผลทดสอบ หนี้ครัวเรือนคนกรุง
ฉลาดซื้อร่วมกับบ้านสมเด็จโพลล์ เผย คนกรุงร้อยละ 77.5 เป็นหนี้ โดยเป็นหนี้เรื่องบ้านมากสุด และร้อยละ 53.4 เคยผิดนัดผ่อนชำระจี้รัฐเข้มงวดบังคับใช้ พ.ร.บ. ทวงหนี้โดยเคร่งครัด
นิตยสารฉลาดซื้อร่วมกับศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา แถลงข่าว ‘เผยผลทดสอบ หนี้ครัวเรือนคนกรุง’ ซึ่งเป็นผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับหนี้สินครัวเรือน โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,171 กลุ่มตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 24 - 28 ส.ค. 2561 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่าประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้ต้องการสะท้อนความคิดเห็นในเรื่องหนี้สินครัวเรือน ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ร้อยละ 77.5 ของกลุ่มตัวอย่าง มีหนี้สิน โดยร้อยละ 37.6 เป็นหนี้เกี่ยวกับการกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ รองลงมาร้อยละ 28.2 เป็นการกู้ซื้อรถยนต์ อันดับสามร้อยละ 18.8 เป็นการกู้ยืมเงินจากหนี้นอกระบบ และร้อยละ 17 เป็นการกู้ยืมสินเชื่อส่วนบุคคล ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ก่อน ปี 2561 ที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันการซื้อบ้าน ที่พักอาศัย เป็นเหตุผลหรือความจำอันดับแรกที่ทำให้คนกรุงต้องเป็นหนี้
สำหรับแหล่งเงินกู้อันดับหนึ่ง หรือ ร้อยละ 36.4 คือ ธนาคารพาณิชย์รองลงมา ร้อยละ 16.7 คือบริษัทไฟแนนช์/ลิสซิ่งซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบหนี้คือ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 15.3 ยังต้องใช้บริการของคนปล่อยกู้ (หนี้นอกระบบ) นอกจากนี้เมื่อสอบถามถึงตัวเลขหนี้สินหรือหรือการกู้ยืมเงิน พบว่า ร้อยละ 40 เป็นหนี้น้อยกว่า 100,000 บาท รองลงมา ร้อยละ 30 เป็นหนี้ในช่วง 1-5 แสนบาท และอันดับสาม ร้อยละ 17.4 เป็นหนี้ในช่วง 5 แสน – 1 ล้านบาทสำหรับสภาพคล่องในการชำระหนี้ พบว่า ร้อยละ 53.4เคยผิดนัดผ่อนชำระ และร้อยละ 34.4 ตอบว่าไม่เคยผิดนัดผ่อนชำระส่วนเรื่องความรู้เกี่ยวกับเรื่องหนี้ คนกรุงส่วนใหญ่ร้อยละ 67.5ทราบข้อมูลเรื่องอัตราดอกเบี้ยของการกู้ยืมเงิน ขณะที่ร้อยละ 52.3ทราบว่ามีกฎหมายเรื่องทวงถามหนี้ และมีถึงร้อยละ 46.3ที่เคยถูกทวงถามหนี้ ซึ่งร้อยละ 33.5ถูกทวงถามหนี้ในลักษณะของจดหมาย รองลงมา ร้อยละ 19.6เป็นพูดจาไม่สุภาพ และร้อยละ 15.4 คิดดอกเบี้ยแพงเกินจริง ตามลำดับ
ผศ.สิงห์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า มีกลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 22.8 ที่เคยถูกดำเนินคดี ฟ้องศาล หรือยึดทรัพย์ และเมื่อสอบถามถึงมาตรการที่ทางรัฐดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้พบว่าประมาณ ร้อยละ 40 ทราบว่ามีแหล่งสินเชื่อที่เป็นมาตรการใหม่ เช่น คลินิกแก้หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.),สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง(สินเชื่อพิโก) และสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับของธปท.(นาโนไฟแนนซ์)
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง บรรณาธิการบริหารนิตยสารฉลาดซื้อและเลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) กล่าวว่า การช่วยเหลือของภาครัฐ เช่น สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง (สินเชื่อพิโก) และสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับของธปท.(นาโนไฟแนนซ์) นั้นมีการคิดดอกเบี้ยที่สูงถึง ร้อยละ 36 ต่อปี ซึ่งไม่ได้เป็นการช่วยเหลือผู้บริโภคอย่างแท้จริง รัฐควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด คือร้อยละ 15 ต่อปี หากจะช่วยคนที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้ที่แท้จริง
ด้านนางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มพบ.จากผลการสำรวจจะเห็นภาพรวมว่า คนกรุงเทพฯ มีข้อมูลไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะตัดสินใจเข้าสู่มาตรการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ โดยเฉพาะคลินิกแก้หนี้ ซึ่งสอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ของคุณชูชาติ บุญยงยศ ในนิตยสารฉลาดซื้อฉบับที่ 209 ที่ระบุว่า ไม่มีผู้บริโภคแม้แต่รายเดียวที่ผ่านเกณฑ์อันเข้มงวดซับซ้อนจนสามารถใช้คลินิกแก้หนี้ได้
นางนฤมล เปิดเผยว่า ข้อมูลจาก มพบ. และเครือข่ายผู้บริโภคทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 ก.ย. 2561 มีการร้องเรียนเรื่องการเงินการธนาคาร รวม 392 ราย เป็นปัญหาเรื่องหนี้ 349 ราย ซึ่งแบ่งเป็น ปัญหาหนี้จากบัตรเครดิต 160 ราย, หนี้จากการเช่าซื้อ 105 ราย, หนี้จากสินเชื่อ 80 ราย และหนี้นอกระบบ 4 ราย นอกจากนี้ มีผู้บริโภคจำนวนมากถึง 152 ราย ที่ถูกดำเนินคดี และ 11 รายถูกทวงหนี้ผิดกฎหมาย
นางนฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสอบถามลูกหนี้ได้รับทราบว่า บางรายไม่ทราบว่ามีกฎหมาย พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ ส่วนบางรายที่ทราบและไปแจ้งความ ตำรวจก็ไม่รับแจ้งความทั้งที่เป็นหน้าที่ หรือบางกรณี ลูกหนี้จะถูกคิดค่าติดตามทวงถามหนี้ที่สูงมาก ด้วยเหตุนี้ จึงเสนอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการ ดังนี้ 1.เสนอให้เร่งพิจารณาการออกหลักเกณฑ์การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการทวงถามหนี้ 2. ให้คณะกรรมการฯจัดให้มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เรื่อง พ.ร.บ. การทวงถามหนี้ 3.ขอให้คณะกรรมการฯ มีหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติและอธิบดีกรมการปกครองสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของตนถือปฏิบัติตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามพ.ร.บ.ทวงถามหนี้โดยเคร่งครัด
อ่านรายละเอียดต่อได้ที่ https://www.chaladsue.com/article/2950