ไม่ได้งบก้อนใหม่จ่าย พนง.705 คน!เบื้องหลังอัยการถูกตัดค่าครองชีพ-ขอ ครม.เพิ่ม 56 ล.
“…แต่ปรากฏว่า เงินงบประมาณที่ได้สำนักงาน อสส. ได้รับจัดสรรประจำปีงบประมาณ 2561 จำนวนทั้งสิ้น 6,799,498,400 บาท จำแนกเป็น ค่าใช้จ่ายบุคลากร 5,896,460,400 บาท และค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 903,038,000 บาท ยังไม่ได้รวมถึงเงินงบประมาณสำหรับการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการธุรการอัตราใหม่ 705 อัตรา ซึ่งขณะนี้สำนักงาน อสส. ได้บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการธุรการอัตราใหม่ครบ 705 อัตราแล้ว จึงเป็นเหตุให้สำนักงาน อสส. มีเงินงบประมาณ แผนงานบุคลากรภาครัฐ รายการค่าใช้จ่ายบุคลากรไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง…”
“รักษาการอัยการสูงสุด ออกหนังสือแจ้งเวียนงดจ่ายค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนรถประจำตำแหน่งและค่าครองชีพชั่วคราวประจำเดือน ก.ย. 2561 เนื่องจากติดขัดปัญหางบประมาณไม่เพียงพอ เพราะเพิ่งประกาศรับข้าราชการธุรการเพิ่มเติม 705 ตำแหน่ง โดยวิธีการแก้ไขปัญหาอยู่ระหว่างประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อให้จัดสรรงบประมาณให้ เมื่อได้รับมาแล้วจะมีการเร่งเบิกจ่ายค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งและค่าครองชีพให้ต่อไป”
เป็นหลักใหญ่ใจความสำคัญ สำหรับประเด็นร้อนในแวดวงอัยการ กรณีรับข้าราชการธุรการเพิ่มเติมจำนวน 705 ตำแหน่ง จนไม่มีเงินงบประมาณเพียงพอไปจ่ายค่าตอบแทนเหมาจ่ายรถประจำตำแหน่ง และค่าครองชีพชั่วคราวแก่อัยการในเดือน ก.ย. 2561
ทั้งนี้ นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นความผิดพลาดทางด้านธุรการ ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาในขณะนี้จะมีการนำเงินค้างท่อมาเกลี่ยจ่ายให้ และมีการนำเรื่องเข้าพิจารณาในประชุมกรรมการเรียบร้อยแล้ว คาดว่าในวันที่ 28 ก.ย.นี้ จะสามารถจ่ายเงินได้ทั้งหมด (อ่านประกอบ : เมื่ออัยการเดือด ถูกตัดเงินค่าครองชีพ-ฝ่ายบริหารยันเกลี่ยงบค้างท่อจ่ายได้แน่ 28 ก.ย.นี้)
เบื้องลึกของปมปัญหาดังกล่าวเกิดจากสาเหตุอะไร ?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org มีคำตอบ ดังนี้
เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2561 สำนักงานอัยการสูงสุด ทำหนังสือด่วนที่สุด ลงนามโดยนายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.) ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
สาเหตุมาจากที่คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเห็นชอบให้สำนักงาน อสส. บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการธุรการใหม่ จำนวน 705 อัตรา แบ่งเป็น นิติกรปฏิบัติการ 205 อัตรา และเจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน 500 อัตรา ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2560 เป็นต้นไป
แต่ปรากฏว่า เงินงบประมาณที่ได้สำนักงาน อสส. ได้รับจัดสรรประจำปีงบประมาณ 2561 จำนวนทั้งสิ้น 6,799,498,400 บาท จำแนกเป็น ค่าใช้จ่ายบุคลากร 5,896,460,400 บาท และค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 903,038,000 บาท ยังไม่ได้รวมถึงเงินงบประมาณสำหรับการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการธุรการอัตราใหม่ 705 อัตรา ซึ่งขณะนี้สำนักงาน อสส. ได้บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการธุรการอัตราใหม่ครบ 705 อัตราแล้ว
จึงเป็นเหตุให้สำนักงาน อสส. มีเงินงบประมาณ แผนงานบุคลากรภาครัฐ รายการค่าใช้จ่ายบุคลากรไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับสมทบเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรที่ยังขาดเงินงบประมาณอีกจำนวน 56,056,000 บาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรที่ต้องเบิกจ่ายประจำเดือน ก.ย. 2561 (ดูเอกสารประกอบ)
ต่อมาเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือถึงสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และกระทรวงการคลัง เพื่อให้นำเสนอความเห็นกรณีนี้ โดยเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2561 สำนักงบประมาณ ได้ตอบความเห็น ระบุว่า จากกรณีคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการให้สำนักงาน อสส. ดำเนินการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการธุรการอัตราใหม่ 705 อัตรา โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 งบกลาง ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายกันไว้เบิกเหลื่อมปี วงเงิน 19,435,000 บาท
สำหรับภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2561 ให้สำนักงาน อสส. พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และสำนักงาน อสส. ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 แผนงานบุคลากรรัฐ จำนวน 6,799,498,400 บาท เมื่อตรวจสอบผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2560-ก.ค. 2561 และประมาณการค่าใช้จ่ายถึงสิ้นเดือน ก.ย. 2561 โดยรวมเงินเลื่อนขั้นของข้าราชการฝ่ายอัยการ และเงินเดือนสำหรับการบรรจุและแต่งตั้งตำแหน่งอัยการผู้ช่วยในปีงบประมาณ 2561 จำนวน 92 อัตราแล้ว คาดว่าจะขาดเงินงบประมาณในรายการค่าใช้จ่ายบุคลากร จำนวน 56,024,100 บาท และมีเงินงบประมาณคงเหลือในรายการค่าใช้จ่ายดำเนินงานจำนวน 41,321,200 บาท
ดังนั้นเพื่อให้สำนักงาน อสส. มีงบประมาณค่าใช้จ่ายบุคลากรเพียงพอที่จะเบิกจ่ายจนถึงสิ้นปีงบประมาณ จึงเห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการ ให้สำนักงาน อสส. ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2561 ภายใต้แผนงานบุคลากรรัฐ รายการค่าใช้จ่ายดำเนินงานรวม 41,321,200 บาท และใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2560 งบกลาง ที่กระทรวงการคลังอนุมัติขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือน มี.ค. 2562 แล้ว จำนวน 14,702,900 บาท รวมเป็นเงิน 56,024,100 บาท เพื่อสมทบเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรในส่วนที่ขาดต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว
สำนักงบประมาณ เสนอความเห็นอีกว่า ขอให้สำนักงาน อสส. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2560 กรณีให้ปรับลดค่าใช้จ่ายในรายการค่าจ้างเหมาบริการตามอัตรา และตำแหน่งที่ได้บรรจุและแต่งตั้งไปแล้วลงอย่างเคร่งครัดด้วย (ดูเอกสารประกอบ)
นอกจากนี้ สำนักงาน ก.พ. ยังเสนอความเห็นว่า เห็นด้วยตามแนวทางการขอรับการจัดสรรเงินงบกลางดังกล่าวของสำนักงาน อสส. จำนวน 705 อัตรา รวมเป็นเงิน 56,056,000 บาท อย่างไรก็ดีสำนักงาน ก.พ. เห็นว่า สำนักงาน อสส. ควรพิจารณาจัดทำแผนบริหารอัตรากำลังให้มีความชัดเจน เหมาะสมกับทิศทางการบริหารงานภาครัฐรูปแบบใหม่ ที่เน้นการจ้างงานในรูปแบบอื่น ๆ ตามความจำเป็นของภารกิจ รวมทั้งควรพิจารณาการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ และลดภาระผูกพันงบประมาณในระยะยาวด้วย (ดูเอกสารประกอบ)
ขณะเดียวกันกระทรวงการคลัง เสนอความเห็นว่า สมควรที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบอนุมัติงบกลางดังกล่าว เพื่อสมทบเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรที่ยังขาดเงินงบประมาณอีกจำนวน 56,056,000 บาท ตามที่สำนักงาน อสส. เสนอ โดยคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อให้การดำเนินงานเกิดประโยชน์สูงสุด
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2561 คณะรัฐมนตรี ลงมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สำนักงาน อสส. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง และสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
นี่คือเบื้องหลังว่า ทำไมการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนรถประจำตำแหน่งและค่าครองชีพชั่วคราวประจำเดือน ก.ย. 2561 แก่บรรดาอัยการทั้งหมด จึงเกิดปัญหางบประมาณไม่เพียงพอ โดยเฉพาะข้อเสนอแนะของสำนักงาน ก.พ. ที่ค่อนข้างตรงประเด็นว่า สำนักงาน อสส. ควรจัดทำแผนบริหารอัตรากำลังให้ชัดเจน เหมาะสมกับการบริหารงานแบบใหม่ที่เน้นการจ้างงานในรูปแบบอื่น ๆ ที่จำเป็นของภารกิจ และควรนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ เพื่อประหยัดงบประมาณ
ท้ายที่สุดเรื่องนี้จะมีบทสรุปอย่างไร คงต้องรอดูความชัดเจนในวันที่ 28 ก.ย. นี้อีกครั้ง !