ปชช.ส่วนใหญ่ ยังอยากให้ "พรรคการเมืองใหม่" เป็นรัฐบาล
นิด้าโพล เผย ประชาชน 61.63 % อยากได้พรรคการเมืองใหม่เป็นรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ยังเป็นอันดับ 1 ของคนที่อยากให้เป็นนายกฯ ส่วนปัญหาที่อยากให้นายกคนค่อไปแก้มากที่สุดคือเรื่องปากท้องและหนี้สิน
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน (ครั้งที่ 4)” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 17 – 18 ก.ย. 2561 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,251 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่าง ด้วยความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” ด้วยวิธีแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) โดยแบ่งชั้นภูมิตามภูมิภาค จากนั้นในแต่ละภูมิภาคสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธี การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ ร้อยละ 95.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้เข้ามาเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ61.63 ระบุว่า พรรคการเมืองพรรคใหม่ ๆ เพราะ อยากเห็นคนใหม่ ๆ นโยบายใหม่ ๆ แนวคิดใหม่ ๆ เข้ามาบริหารและพัฒนาประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่บางส่วนระบุว่า เบื่อการบริหารงานของพรรคการเมืองพรรคเก่า ร้อยละ 37.49 ระบุว่า พรรคการเมืองพรรคเก่า เพราะ มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ ชอบการบริหารงานแบบเก่า ๆ บริหารงานดีอยู่แล้ว การทำงานมีระบบ เคยเห็นผลงานมาแล้ว มั่นใจในผลงาน รู้จัก คุ้นเคยกับประชาชนเป็นอย่างดี มีความเข้าใจและสามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าพรรคการเมืองพรรคใหม่ และร้อยละ 0.88 ระบุว่า ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
ด้านบุคคลที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน (10 อันดับแรก) พบว่า ส่วนใหญ่ อันดับ 1 ร้อยละ 29.66 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) รองลงมา อันดับ 2 ร้อยละ 17.51 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 3 ร้อยละ 13.83 ระบุว่าเป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) อันดับ 4 ร้อยละ 10.71 ระบุว่าเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) อันดับ 5 ร้อยละ 5.28 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส (หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย) และพล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ (รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย) ในสัดส่วนที่เท่ากัน อันดับ 7 ร้อยละ 4.64 ระบุว่าเป็น นายชวนหลีกภัย (อดีตนายกรัฐมนตรี) อันดับ 8 ร้อยละ 1.92 ระบุว่าเป็น หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล (หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย) อันดับ 9 ร้อยละ 1.76 ระบุว่าเป็น นายวิษณุ เครืองาม (รองนายกรัฐมนตรี) อันดับ 10 ร้อยละ 1.52 ระบุว่าเป็น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาชาติ) และอันดับ 11 ร้อยละ 1.44 ระบุว่าเป็น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (รองนายกรัฐมนตรี) และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (พรรครวมพลังประชาชาติไทย) ในสัดส่วนที่เท่ากัน
เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้ได้คะแนนเสียงมากที่สุด และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล (10 อันดับแรก) พบว่า ส่วนใหญ่ อันดับ 1 ร้อยละ 28.78 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 2 ร้อยละ 20.62 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ อันดับ 3 ร้อยละ 19.58 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 4 ร้อยละ 15.51 ระบุว่าเป็น พรรคอนาคตใหม่ อันดับ 5 ร้อยละ 4.16 ระบุว่าเป็น พรรคเสรีรวมไทย อันดับ 6 ร้อยละ 2.56 ระบุว่าเป็น พรรคประชาชาติ อันดับ 7 ร้อยละ 2.40 ระบุว่าเป็น พรรครวมพลังประชาชาติไทย อันดับ 8 ร้อยละ 1.44 ระบุว่าเป็น พรรคพลังชาติไทย อันดับ 9 ร้อยละ 1.12 ระบุว่าเป็น พรรคชาติไทยพัฒนา และอันดับ 10 ร้อยละ 0.96 ระบุว่าเป็น พรรคประชาชนปฏิรูป
ส่วนปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ใช้ในการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.80 ระบุว่า เป็นบุคคลที่มีผลงานประจักษ์ ทำประโยชน์ในพื้นที่หรือต่อประเทศไทย รองลงมา ร้อยละ 22.54 ระบุว่า ชอบพรรค/นโยบายของพรรค ที่ผู้สมัครสังกัด ร้อยละ 12.07 ระบุว่า ชื่นชอบเป็นการส่วนตัว (เช่น บุคลิก หน้าตา ท่าทาง มีแนวคิดคล้ายตนเองเป็นคนบ้านเดียวกัน เป็นต้น) ร้อยละ 10.15 ระบุว่า ต้องการได้ ส.ส. หน้าใหม่ ร้อยละ 2.32 ระบุว่า ต้องการได้นายกรัฐมนตรีตามมติของพรรคที่ผู้สมัครสังกัด ร้อยละ 1.52 ระบุว่า เป็นอดีต ส.ส. หรือ นักการเมืองในพื้นที่ หรือ เป็นญาตินักการเมืองเดิมในพื้นที่ ร้อยละ 0.80 ระบุว่า ผู้สมัครสังกัดพรรคที่จะได้เป็นรัฐบาลแน่นอน ร้อยละ 0.16 ระบุว่า ผู้สมัครสังกัดพรรคที่อยู่ตรงข้ามกับพรรคที่ตนเองไม่ชอบ และร้อยละ 0.64 ไม่ระบุ/ ไม่แน่ใจ
สำหรับปัญหาที่อยากให้นายกคนต่อไปเข้ามาแก้ไขมากที่สุด พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 41.81 ระบุว่า ปัญหาปากท้องและหนี้สินของประชาชน รองลงมา ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ร้อยละ 11.67 ระบุว่า ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจโดยมิชอบ ผู้มีอิทธิพล ร้อยละ 6.07 ระบุว่า ปัญหาการควบคุมราคาสินค้า ร้อยละ 5.91 ระบุว่า ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม มิจฉาชีพ ร้อยละ 3.60 ระบุว่า ปัญหาการว่างงานและแรงงานนอกระบบ ร้อยละ 2.08 ระบุว่า ปัญหาด้านคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในปัจจุบัน ร้อยละ 0.88 ระบุว่า ปัญหาด้านสุขภาพการรักษาพยาบาลและการคุ้มครองความเสี่ยงของผู้บริโภค ร้อยละ 2.16 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ปัญหาด้านการคมนาคม ปัญหาด้านราคาน้ำมันความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาด้านการบังคับใช้กฎหมาย และระบบงานราชการและร้อยละ 0.40 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความเชื่อมั่นว่าจะมีการเลือกตั้ง ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยไม่มีการเลื่อนออกไปอีก พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 52.76 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่น เพราะ ยังไม่มีความพร้อม ไม่ชัดเจนในหลาย ๆ เรื่อง สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ปกติมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเลื่อนการเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้งเลยทำให้ขาดความเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 45.16 ระบุว่า เชื่อมั่น เพราะ สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ เป็นไปตามโรดแมปที่รัฐบาลวางไว้ และเชื่อมั่นในความสามารถและความพร้อมของรัฐบาล และร้อยละ 2.08 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ