คณะกรรมการจัดระเบียบรถตู้ ไม่รับข้อเสนอ ชมรมรถตู้
มติที่ประชุม คณะกรรมการจัดระเบียบรถตู้ ไม่รับข้อเสนอ ชมรมรถตู้โดยสารปรับอากาศร่วมบริการสาธารณะ "ไม่ต่ออายุ-ไม่อนุญาตขึ้นค่าโดยสาร" ขนส่งฯ ขู่ ฝ่าฝืน โทษปรับ 50,000-200,000 บาท
เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2561 ผู้สื่อข่าวรายงาน มีรายงานข่าวจากกรมการขนส่งทางบกว่า วานนี้ (13 ก.ย.) ที่ผ่านมา พ.อ.สมบัติ ธัญญะวัน รอง ผบ.พล.ม.2 รอ. ประธานคณะกรรมการจัดระเบียบรถตู้ ได้เชิญ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และชมรมรถตู้โดยสารปรับอากาศร่วมบริการสาธารณะเข้าร่วมหารือ เพื่อพิจารณาข้อเสนอของชมรมรถตู้ ที่ขอให้ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ขยายอายุรถ ตู้หมวด 1 ที่วิ่งในเขตกรุงเทพมหานคร เพิ่มอีก 5 ปี จนถึงปี 2565, ขอให้การปรับเปลี่ยนรถตู้ เป็นรถไมโครบัส เป็นมาตรการโดยความสมัครใจ และขอปรับขึ้นค่าโดยสารอีก 5 บาท
ทั้งนี้ ภายหลังการหารือที่ประชุมมีมติไม่รับข้อเสนอทั้ง 3 ข้อ โดนเห็นว่า อายุรถที่ 10 ปี มีความเหมาะสม หากขยายเกิน 10 ปี อาจส่งผลกระทบเรื่องความปลอดภัยต่อผู้โดยสาร “มติไม่ต่ออายุรถตู้ในกรุงเทพมหานคร จะทำให้รถตู้ 1,800 คัน จากทั้งหมดราว 6,000 คัน จะต้องหยุดวิ่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2561 เป็นต้นไป เพราะอายุรถจะครบ 10 ปี ในวันที่ 30 ก.ย. 2561 นี้ ซึ่งอาจจะกระทบต่อประชาชนที่ใช้บริการ เพราะหากวิ่งต่อไปจะถูกจับ เพราะเป็นการกระทำผิดกฎหมาย มีโทษปรับตั้งแต่ 50,000-200,000 บาท” ทั้งนี้ คณะกรรมการจัดระเบียบรถตู้ฯ จะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ ด้วยการจัดเส้นทางใหม่ที่ไม่ทับซ้อนกับเส้นทางรถไฟฟ้าต่อไป
ส่วนกรณีข้อเรียกร้องที่ขอให้มีการเปลี่ยนรถตู้เป็นรถโดยสารขนาดเล็กไม่เกิน 20 ที่นั่ง (มินิบัส) ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ประกอบการนั้น ที่ประชุมยืนยัน ให้รถตู้ทุกคันที่อายุครบ 10 ปี หลังจากวันที่ 1 ต.ค. 2560 ต้องเปลี่ยนเป็นไมโครบัสภายในเดือนกันยายน 2562 นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ ตั้งคณะกรรมการศึกษาค่าโดยสารรถตู้ด้วย หลังจากกลุ่มรถตู้อ้างว่า มีต้นทุนเพิ่มขึ้น และขอปรับขึ้นค่าโดยสารเฉลี่ย 5 บาท/เที่ยว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มรถตู้ประเมินว่า ถ้ารัฐบาลไม่ขยายอายุรถตู้ จะส่งผลให้ปี 2561 มีรถตู้ออกจากระบบ 1,800 คันและปี 2562 ทยอยหมดอายุอีก 1,519 คัน สำหรับรถตู้ที่ต้องหยุดให้บริการ 1,800 คันในปีนี้ จะส่งผลกระทบให้คนขับรถมากกว่า 2,000 คนต้องตกงาน และผู้ประกอบการรถตู้ครึ่งหนึ่งคงเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นแทน เพราะยังประเมินผลกระทบจากโครงการรถไฟฟ้าไม่ได้ จึงไม่กล้าลงทุนซื้อรถใหม่
ที่มา : http://www.fm91bkk.com