คำพิพากษาฉบับเต็ม!คดีจำคุก‘ชูวิทย์’ ที่แท้ซุกหุ้น‘ภัตตาคารซินกี่’ ใช้ลูกน้อง‘นอมินี’
เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาฯฉบับเต็ม คดี‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน ที่แท้ ซุกหุ้น หจก.ภัตตาคารซินกี่ 1.5 แสนบาท ใช้ชื่อลูกน้อง 2 คน ยอมรับในชั้น ป.ป.ช. ไม่ใช่ของตนเอง เพื่อ ปย.ยื่นขอต่อใบอนุญาต อาบอบนวด‘ไฮคลาส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์’
21 มิ.ย.2561 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคชาติไทย จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ลงโทษจำคุก 2 เดือน ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน แต่นายชูวิทย์เคยได้รับโทษจำคุกเกินหกเดือนมาก่อน และพ้นโทษจำคุกมาไม่เกินห้าปี จึงไม่อาจรอการลงโทษจำคุกได้ กระทั่งนายชูวิทย์พ้นโทษเมื่อวันที่ 21 ก.ค.2561
ข้อมูลที่คนทั่วไปอาจไม่ทราบคือชนวนที่ทำให้นายชูวิทย์ต้องรับโทษจำคุกดังกล่าวมาจากการซุกทรัพย์สินภัตตาคารชื่ออะไร?
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org มีคำตอบ เรียบเรียงคำพิพากษามาเสนอ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่า มีเจตนาไม่แสดงที่มา แห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น กรณีพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 ผู้ถูกกล่าวหา เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2150/2546 คดีหมายเลขแดงที่ 3220/2549 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 2 กับลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34, 119
ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ
พิเคราะห์คำร้อง เอกสารประกอบคำร้อง และคำให้การของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว เห็นว่า คดีวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องเรียกพยานมาไต่สวน
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 โดยปฏิญาณตน เพื่อเข้ารับหน้าที่เมื่อวันที่ 2สิงหาคม 2554 และพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556
ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องกรณีพ้นจากตำแหน่งครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2556 โดยไม่แสดงรายการเงินลงทุนในห้างหุ้นส่วนจำกัด ภัตตาคารซินกี่ จำนวนเงิน 150,000 บาท ผู้ร้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริง ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงว่าโอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นไปแล้วก่อนถึงกำหนดยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้อง ผู้ถูกกล่าวหาเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษฐานทำให้เสียทรัพย์และฐานบุกรุก จำคุก 2 ปี ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3220/2549 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ พ้นโทษเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2559
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 2 หรือไม่
เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 บัญญัติว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หมายความว่า ... (3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2542 เป็นต้นมา ผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 มีหน้าที่ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุ นิติภาวะต่อผู้ร้องภายในสามสิบวันนับแต่วันเข้ารับตำแหน่ง วันพ้นจากตำแหน่ง และวันที่พ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33
ผู้ถูกกล่าวหาเคยยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องกรณีเข้ารับตำแหน่ง กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 1 กับกรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 2 ย่อมทราบว่าตนมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด แต่ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการ ทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องกรณีพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 2 โดยไม่แสดงรายการเงินลงทุนในห้างหุ้นส่วนจำกัด ภัตตาคารซินกี่ จำนวนเงิน 150,000 บาท
ผู้ร้องมีหนังสือแจ้งให้ ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงว่าโอนหุ้นของห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวให้แก่ บุคคลอื่นไปแล้วก่อนถึงกำหนดยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้อง แต่คำชี้แจงของ ผู้ถูกกล่าวหาขัดกับถ้อยคำของนายชุมสิน จิระนคร และนายสุเมธ เตชะผ่องพันธ์ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าเป็นผู้รับโอนหุ้นของห้างหุ้นส่วนจำกัด ภัตตาคารซินกี่ จากผู้ถูกกล่าวหา โดยนายชุมสิน และนายสุเมธ ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนของผู้ร้องยืนยันว่าพยานทั้งสองเป็นเพียงพนักงานของ สถานบริการไฮคลาส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งดำเนินกิจการโดยห้างหุ้นส่วนจำกัด ภัตตาคารซินกี่ พยานทั้งสองมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัด ภัตตาคารซินกี่ แทนผู้ถูกกล่าวหา เพื่อยื่นเรื่องขออนุญาตต่อใบอนุญาตสถานบริการไฮคลาส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ แทนผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น แต่ผู้ถูกกล่าวหายังคงเป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริงในห้างหุ้นส่วนจำกัด ภัตตาคารซินกี่ จึงเชื่อได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ถือหุ้นของห้างหุ้นส่วนจำกัด ภัตตาคารซินกี่ ขณะผู้ถูกกล่าวหามีหน้าที่ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องกรณีพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 2 แต่ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องโดยไม่แสดงรายการเงินลงทุนใน ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภัตตาคารซินกี่ จำนวนเงิน 150,000 บาท พฤติการณ์ดังกล่าวมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น ซึ่งการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินเป็นหน้าที่สำคัญของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องปฏิบัติ อันเป็นมาตรการใน การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อให้เกิดการตรวจสอบผู้ใช้อำนาจรัฐ
จึงฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 2 มีผลห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง เป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคสอง นอกจากนี้ การกระทำของ ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควร แจ้งให้ทราบ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ด้วย
พิพากษาว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 2 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33 ห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปี นับแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2556 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคสอง กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ลงโทษจำคุก 2 เดือน ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน ผู้ถูกกล่าวหาเคยได้รับโทษจำคุกเกิน หกเดือนมาก่อน อันมิใช่โทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และพ้นโทษจำคุกมาไม่เกินห้าปี จึงไม่อาจรอการลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหาได้ (คดีหมายเลขแดงที่ อม. 107/2561 -21 มิ.ย.2561)
อ่านประกอบ:
พลิกบัญชีทรัพย์สิน‘เสี่ยชูวิทย์’ 3 ปี หาย 500 ล้าน
ป.ป.ช.ฟันเงียบ‘ชูวิทย์’คดีบัญชีทรัพย์สิน ศาลฎีกาฯ นัด 21 มิ.ย.61
สแกนทรัพย์สิน 347 ล. ‘เสี่ยชูวิทย์’ก่อนศาลสั่งจำคุก 2 ปีคดีรื้อบาร์เบียร์