ดีเอสไอจู่โจมค้น4จุดบ.คนไทยเป็นนอมินีกว้านซื้อที่ดินให้ต่างชาติปีละ2พันล.
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2561 พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 7/2561 สนธิกำลังร่วมกับ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เข้าดำเนินการตรวจค้นสถานที่เป้าหมาย จำนวน 4 แห่ง ตามอนุมัติของศาลอาญา โดยแบ่งกำลังเป็น 4 ชุดปฏิบัติการ เพื่อเข้าตรวจค้นสถานที่เป้าหมาย ดังนี้
1.นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ พร้อมชุดปฏิบัติการ เข้าตรวจค้นสำนักงาน เลขที่ 393/4-5 หมู่ 1 ซอยบางเทา 1 ถนนศรีสุนทร ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นสำนักงานสาขาจังหวัดภูเก็ต และสถานที่ทำงานของกลุ่มพนักงานคนไทยผู้รับถือหุ้นแทนชาวต่างชาติและทำเอกสารเท็จเพื่ออำพรางการเป็นนอมินี
2.นายวรพจน์ ไม้หอม พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ พร้อมชุดปฏิบัติการ เข้าตรวจค้นสำนักงานเลขที่ 123/9 หมู่ 5 ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นสำนักงานจัดทำบัญชีให้กับกลุ่มบริษัทลูกค้าชาวต่างชาติ
3.นายจักรภพ กลิ่นหอม พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ พร้อมชุดปฏิบัติการ เข้าตรวจค้นสำนักงานเลขที่ 17/10 หมู่ 1 ถนนทวีราษฎร์ภักดี ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นสำนักงานสาขาสมุย และสถานที่ทำงานของกลุ่มพนักงานคนไทยที่เป็นผู้ถือหุ้นแทนชาวต่างชาติและจัดทำเอกสารเท็จเพื่ออำพรางการเป็นนอมินี
4.นายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ รองผู้บัญชาการกองคดีความมั่นคง พร้อมชุดปฏิบัติการ เข้าตรวจค้นอาคารรัจนาการ เลขที่ 3 ชั้น AA ถนนสาทร แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ เป็นสำนักงานใหญ่ ที่ทำการของกลุ่มชาวต่างชาติในชั้นผู้สั่งการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากผลการตรวจค้นพบสำเนาเอกสาร , อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ , ข้อมูลในระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะดำเนินการเก็บเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินการทางคดีต่อไป นอกจากนี้ ยังค้นพบข้อมูลเพิ่มเติมว่า กลุ่มชาวต่างชาติได้ทำการกว้านซื้อขายที่ดินกว่า 80 แปลง กระจายในพื้นที่ ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน บ้านพักตากอากาศ และบ้านเดี่ยว
ข่าวแจ้งว่า มีการประกอบธุรกิจการค้าที่ดินอำพรางให้กับชาวต่างชาติจำนวนมาก ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างในจังหวัดท่องเที่ยว อาทิ สุราษฎร์ธานี พังงา ภูเก็ต และ กระบี่ คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า กลุ่มบริษัทที่ปรึกษากฎหมายดังกล่าวจัดให้พนักงานของบริษัท ซึ่งเป็นคนไทยเป็นตัวแทนอำพรางก่อตั้งบริษัท แล้วนำบริษัทดังกล่าวเข้าไปถือครองหุ้นในบริษัทอื่นๆ เพื่อประกอบธุรกิจการค้าที่ดินให้กับชาวต่างชาติ
โดยพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เป็นการถือครองที่ดินในลักษณะนอมินีดังกล่าว มีผลกระทบต่อความมั่นคงและภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงส่งผลต่อการเข้าถึงที่ดินของคนไทยโดยตรง ซึ่งดีเอสไอจะได้ปราบปรามอย่างต่อเนื่องจริงจัง