65คนไทยบินจากอินโดฯถึงบ้านแล้ว เผยหวั่นอันตรายแผ่นดินไหว
นทท.65คนไทย บินจากอินโดฯกลับถึงบ้านแล้ว คาด 1 ส.ค. จำนวน 18 คน ที่เหลือทยอยบินกลับเรื่อยๆ จนครบ 216 คน หนึ่งในนทท.เผยสถานที่เที่ยวซับซ้อน หากเกิดแผ่นดินไหวข้างจะอันตรายมาก
เมื่อเวลา 00.20 น. วันที่ 1 ส.ค. 2561 ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง อาคาร1 เที่ยวบินพิเศษของสายการบินไทยแอร์เอเชีย FD9002 ที่รับนักท่องเที่ยวชาวไทย จำนวน 65 คน ที่ประสพภัยแผ่นดินไหวติดค้างอยู่บนภูเขาไฟรินจานี ประเทศอินโนนีเซีย ได้กลับถึงประเทศเทศไทยโดยสวัสดิภาพ ครอบครัวและกลุ่มเพื่อนสนิทมารอรับกันอย่างเนืองแน่น ต่างเข้าโผกอดเมื่อพบหน้ากันด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ขณะที่ นายชาตรี อรรจนานันท์ อธิบดีกรมการกงสุล และเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะมากับเครื่องบินเที่ยวเหมาลำของสายการบินแอร์เอเชียดังกล่าว
นายชาตรี กล่าวว่า มาอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่มาในเที่ยวบินพิเศษ เพื่อให้กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ โดยเตรียมน้ำดื่มมาแจกให้คนละ 1 ขวด ซึ่งที่ขวดจะมีคิวอาร์โค้ด ให้สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นของกรมการกงสุล เพื่อไว้ใช้ติดต่อสถานทูตเมื่อเจอปัญหาในระหว่างการท่องเที่ยวต่างประเทศ สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาในรอบนี้จำนวน 65 คน ส่วนที่เหลือคาดว่าจะเดินทางกลับในวันที่ 1 ส.ค. จำนวน 18 คน อีก 6 คนเดินทางกลับด้วยตนเอง และอีก 31 คน ทราบว่าอยู่ระหว่างเปลี่ยนตั๋วเลื่อนวันเดินทางกลับ รวมถึงมีบริษัททัวร์ที่ดูแลพากลับมาก่อนหน้านี้ คิดว่าอีกไม่นานคงจะกลับถึงประเทศไทยครบทั้งหมด 216 คน
นาย สุภะมิตร ทวิชัย หนึ่งในนักท่องเที่ยวติดค้างบนภูเขาไฟ กล่าวว่า ช่วงเกิดเหตุตนเป็นกลุ่มคนไทยที่ติดอยู่ตรงน้ำพุร้อน ใกล้กับภูเขาไฟรินจานี เห็นกลุ่มก้อนหินกำลังร่วงลงมา ซึ่งตอนนั้นไกด์บอกว่าให้อยู่นิ่ง อย่าพึ่งตื่นตกใจ จากนั้นเมื่อมีอาฟเตอร์ช๊อคตามมา จึงได้รับคำสั่งว่าให้วิ่งออกจากบ่อน้ำพุ ตนพร้อมกลุ่มทัวร์ จึงรีบออกไปโดยเร็วที่สุดไปพักตรงจุดปลอดภัย ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เดินทางไปเดินเขาในประเทศอินโดนิเชีย ซึ่งหากสถานการณ์ดีขึ้น คาดว่าก็คงจะไม่กลับไปยังจุดนั้นอีก เพราะถือว่ากายภาพและภูมิศาสตร์มีความชับซ้อน หากเกิดเหตุอะไรขึ้นค่อนข้างอันตราย หลังจากเกิดเหตุ ตนได้รับกำลังใจจากคุณแม่ ที่ส่งข้อความไปแสดงความเป็นห่วง พอได้เห็นข้อความนั้นก็มีกำลังใจ และรีบเดินทางกลับบ้านโดยเร็ว
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/809068