ไล่ออก 8 ปลดอีก 3 ข้าราชการคุก เอี่ยวรับผลประโยชน์จากผู้ต้องขัง
กรมราชทัณฑ์ มีมติ ไล่ออก และปลดออก 11 ข้าราชการ หลังมีพฤติกรรม เกี่ยวข้องกับการรับผลประโยชน์จากผู้ต้องขัง - กระทำผิดวินัยละทิ้งราชการ
เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2561 เวลา 13.00 น. พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้เปิดเผยถึงผล ประชุม อ.ก.พ.กรมราชทัณฑ์ ครั้งที่ 4/2561 ณ อาคารชวนชม ทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมาว่า
ที่ประชุมมีมติ พิจารณาลงโทษข้าราชการกรณีกระทำผิดวินัย อีกจำนวนทั้งสิ้น 11 ราย โดยมีมติไล่ออกจากราชการ จำนวน 8 ราย มีพฤติการณ์ต่างๆ ได้แก่
1.ลักลอบนำยาทรามาดอล เข้าไปให้ผู้ต้องขังภายในเรือนจำ
2.เป็นสื่อติดต่อกับผู้ต้องขังโดยได้รับผลประโยชน์เป็นเงินจากผู้ต้องขัง ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
3.ซุกซ่อนนำยาแก้ไอจำนวน 1,000 เม็ด เข้าไปในเรือนจำเพื่อจำหน่ายให้กับผู้ต้องขังโดยไม่มีหน้าที่
4.ใช้เอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินของร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขังไปเบิกจ่ายซ้ำ โดยนำเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว
5.ไม่นำเงินฝากของผู้ต้องขังเข้าบัญชีตามระเบียบของทางราชการ โดยนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว
6.ไม่รายงานการตรวจค้นพบโทรศัพท์มือถือในเรือนจำ เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังไม่ถูกดำเนินคดีอาญาและทางวินัย
7.ให้บุคคลภายนอกเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลของทัณฑสถานและเรียกรับผลประโยชน์ตอบแทน โดยไม่มีอำนาจ
8. มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในเรือนจำ
ขณะเดียวกันที่ประชุมยังมีมติปลดออกจากราชการอีก จำนวน 3 ราย มีพฤติการณ์ต่างๆ ได้แก่
1. ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินสิบห้าวัน โดยมีพฤติการณ์ไม่มารายงานตัวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการ
2. ละทิ้งราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินสิบห้าวัน โดยมีพฤติการณ์ไม่มาปฏิบัติหน้าที่ราชการบ่อยครั้ง
3. รับฝากสิ่งของที่มีซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือซุกซ่อนอยู่จากญาติของผู้ต้องขังและนำเข้าไปให้ผู้ต้องขังภายในเรือนจำ
ทั้งนี้ พ.ต.อ.ณรัชต์ ระบุว่าทางกรมราชทัณฑ์ ได้ดำเนินการเน้นย้ำให้ข้าราชการในสังกัดกรมราชทัณฑ์ ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่ยังมีข้าราชการส่วนน้อยที่มีพฤติการณ์กระทำผิด และกรมราชทัณฑ์ มิได้นิ่งเฉยต่อการกระทำของบุคคลเหล่านั้นแต่อย่างใด ซึ่งในแต่ละปีกรมราชทัณฑ์ ดำเนินการพิจารณาลงโทษข้าราชการที่กระทำผิด เพื่อมิให้เป็นแบบอย่างกับข้าราชการอื่นๆ ตลอดจนเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมภายนอกในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการกรมราชทัณฑ์ต่อไป