'สุเทพ-จรัส'ร่วมวงถกเสวนาเห็นพ้องผลักดันการกระจายอำนาจ
'สุุเทพ'จัดเสวนาชำแหละปฏิรูปตร. 29หรือ30 ก.ค. ด้าน'จรัส' หลุดปากรปช.เสนอตัวเป็นเจ้าภาพผลักดันกระจายอำนาจ ส่วน'พงศ์โพยม' ชี้รัฐไทยช่วยประชาชนจนอ่อนแอ ขณะที่'เอนก'ลั่นต้องกล้าทำแม้จะยาก
เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่อาคารทูแปซิฟิคเพลส ถนนสุขุมวิท มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย จัดเสวนาปฏิรูปประเทศไทยในหัวข้อการกระจายอำนาจ โดยมีวิทยากร อาทิ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ( รปช.) นายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายจรัส สุวรรณมาลา อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิฯ กล่าวเปิดงานเสวนา ว่า 5 ประการที่เป็นสิ่งที่ประชาชนคาดหวังคือ 1.การปฏิรูปการเมืองเพื่อให้เกิดการเมืองเพื่อประเทศและประชาชน ซึ่งมีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมไปแล้วส่วนใหญ่ โดยรัฐธรรมนูญใหม่จะเห็นว่า ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการเมืองทุกขั้นตอนเพื่อให้เป็นการเมืองของประชาชน 2.ประชาชนมุ่งหวังให้ปฏิรูปกระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 3.ประชาชนมุ่งหวังจะเห็นการปฏิรูประบบราชการให้เป็นไปโดยหลักธรรมาภิบาล 4.ปฏิรูปกระบวนการความเหลื่อมล้ำทางสังคม และ5.ประชาชนคาดหวังการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะตำรวจ ซึ่งเป็นกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น ทั้งนี้การเสวนาวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการระดมความคิดจากผู้รักชาติบ้านเมืองที่มาแลกเปลี่ยนความเห็น ซึ่งถือเป็นการจัดอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ส่วนครั้งต่อไปในช่วงวันที่ 29 หรือ 30 ก.ค.จะเป็นการพูดถึงเรื่องการปฏิรูปตำรวจที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของรัฐบาล
นายพงศ์โพยม กล่าวว่า รัฐไทยใช้มิติเชิงอำนาจ ราษฎรอยากมีอยากเป็นจะต้องมาขอ รัฐไทยมุ่งช่วยเหลือประชาชนมากเกินไปหรือเปล่า จนเขาอ่อนแอไปหมด ทั้งนี้ ท้องถิ่นในปัจจุบันมีรูปแบบพิเศษอยู่ 2 ที่คือกรุงเทพฯ และพัทยา นอกนั้นจะเป็นอบต.และเทศบาล มีบุคลากรประมาณ 5 แสนคนทั่วประเทศ ซึ่งก่อนยุคคสช.นั้นจะมีงบเงินอุดหนุนพิเศษ เริ่มต้นประมาณพันกว่าล้านบาท แล้วก็เติบโตเป็น 2.8 หมื่นล้านบาท มีเงินทอนตรงนี้ค่อนข้างเยอะ จนอดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งไม่ได้อยู่ประเทศไทยแล้วก็เพราะบาปกรรมจากเงินก้อนนี้ ส่วนนักการเมืองเมื่อชนะการเลือกตั้งเข้ามาแล้วแทนที่จะกระจายอำนาจ ก็กลับหวงอำนาจเพราะเสียดายงบประมาณที่จะต้องกระจายออกไป ดังนั้น หากอยากจะเห็นประชาชนเข้มแข็งต้องเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทุกรูปแบบ แล้วลดการกำกับดูแลของส่วนราชการลง ซึ่งจะเป็นหนทางที่สร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนได้นอกจากแค่การเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว
ด้านนายจรัส กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐรวมศูนย์อำนาจไว้กับข้าราชการและการเมืองระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลแบบไหน ดูได้จากรัฐบาลปัจจุบันที่สมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ก็เป็นข้าราชการ และที่ผ่านมาการออกกฎหมายปฎิรูปต่างๆ ออกมาเป็นกับดักของการพัฒนา และการสร้างรายได้ให้สูงกว่าระดับกลาง ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 คงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการแก้ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นด้วยการยกให้จังหวัดเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่คล้ายกับกรุงเทพฯ แต่ก้าวหน้ากว่า
“การกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นนั้นดีกว่าการปกครองโดยส่วนกลาง เช่น การแก้ปัญหาที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ที่ จ.เชียงราย กรณี13นักฟุตบอลทีมหมูป่าอะคาเดมี่ติดถ้ำ ผู้ว่าฯ จ.เชียงรายมีอำนาจของตัวเอง สามารถจัดการปัญหาได้ดีกว่ารัฐบาล” นายจรัสกล่าว
นายจรัส กล่าวอีกว่า การกระจายอำนาจดีกว่ารูปแบบการปกครองแบบเดิม ลดความซ้ำซ้อนโครงการสร้างอำนาจต่างๆ ของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะลดจำนวนเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาจังหวัดได้ดีขึ้น และรู้สภาพของปัญหาต่างๆได้ตรงเป้าหมาย โดยมีภารกิจที่จะต้องแยกออกมาให้จังหวัดบริหารเอง ส่วนจะผลักดันให้เรื่องดังกล่าวเป็นรูปธรรมนั้นจำเป็นจะต้องมีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเป็นเจ้าภาพ ซึ่งพรรครวมพลังประชาชาติไทยอาจเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ค่อยไปหาแนวร่วมและพรรคพันธมิตรร่วมผลักดัน ซึ่งต้องเข้มข้น เพราะที่ผ่านมา 20 ปีใช้วิธีแบบประนีประนอมแล้วไปไม่ได้
ขณะที่นายเอนก กล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดของเราถึงจะเป็นคนที่เก่งมาก แต่ก็ถูกย้ายได้ง่ายมาก อาจจะมีการบอกว่าเพราะเก่งเลยย้ายไปจังหวัดที่เล็กลงบ้างเพื่อไปพัฒนาจังหวัดนั้น แต่ปกติแล้วเขาจะต้องย้ายจากผู้ว่าราชการจังหวัดไปเป็นระดับอธิบดี ดังนั้นการปฏิรูปเรื่องนี้จึงมีความสำคัญมาก ทั้งนี้ประเทศที่พัฒนาได้มักจะเข้าใจผิดว่าเพราะมีนายกฯ มีรัฐมนตรี หรือมีประธานาธิบดีที่เก่ง แต่จริงๆ แล้วสหรัฐอเมริกาหรือจีน คนที่เป็นประธานาธิบดีก็ยังต้องผ่านการเป็นผู้ว่าฯ มลรัฐ หรือผู้ว่าการมณฑลที่มีความสามารถมาก่อนทั้งสิ้น ดังนั้นเราต้องกล้าทำเรื่องที่ยาก ส่วนตัวอยากให้จังหวัดมีสถานะคล้ายๆ กึ่งส่วนกลาง กึ่งท้องถิ่น แต่ขึ้นอยู่กับนายกฯ โดยตรงและมีสถานะเทียบเท่ากับรัฐมนตรีช่วยด้วย โดยจะต้องประชุมร่วมกับนายกฯ เดือนละครั้ง
ที่มาข่าว:https://www.dailynews.co.th/politics/655135