"สมชัย"จวกไพรมารีโหวตไร้ประโยชน์ ทำแค่พิธีกรรม
'สมชัย'ชี้ไพรมารีโหวตครั้งแรกเป็นแค่พิธีกรรม แต่ต้องทำต่อเพื่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคต “นิกร”จวกเป็นบาปบริสุทธิ์ของคนร่างกฎหมายที่ไม่ดูบริบทการเมือง แนะใช้ ม.44 ปรับหลักเกณฑ์ให้ทำแบบพอไปได้
ทั้งนี้ตนไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือกผู้สมัคร แต่เป็นกระบวนการในเชิงหลอกลวง ให้เห็นเหมือนว่าเรามีการเลือกตั้งแล้ว มีการทำไพรมารีโหวตแล้ว เป็นประชาธิปไตยแล้วทั้งที่ไม่ใช่ นอกจากนั้นยังมีการเสนอแก้ไขให้มีการทำไพรมารีโหวตเป็นรายภาคแทนหากทำทุกจังหวัดไม่ไหว ซึ่งตนก็ยิ่งรู้สึกว่าจะทำให้กระบวนการดังกล่าวอ่อนปวกเปียกมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้แม้หลักการดังกล่าวจะดี แต่จะต้องช่วยกันทำให้ระบบเข้มแข็งมากขึ้น เพราะการทำไพรมารีโหวตในครั้งแรกอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
“จุดยืนของผมไม่ควรถอย ไม่ควรยกเลิกแม้จะดูเป็นพิธีกรรม ไม่ควรลดทอนรูปแบบ แต่ควรลองทำกันไปเพื่อให้รู้ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น ซึ่งผมไม่มั่นใจว่าการทำไพรมารีโหวตผลที่ออกมาจะดีหรือไม่ แต่เมื่อเราคิดว่าปัญหาในอดีตมีและคิดว่ารูปแบบไพรมารีโหวตจะสามารถปรับใช้กับเราได้ ก็ต้องลองทำดู อย่าเพิ่งไปถอย และหากคนที่ถอยมาจาก รัฐบาล กรธ.หรือ สนช.เอง ก็เท่ากับว่าขาดวุฒิภาวะอย่างแท้จริง เพราะทำประเทศเหมือนการขายของเด็กเล่น อยากคิดก็คิดอยากเขียนกฎหมายอะไรก็เขียน พอวันหนึ่งก็เปลี่ยนทั้งที่ยังไม่ได้เริ่ม ส่วนการดูด ส.ส.นั้น ผมมองว่าเป็นการทำลายระบบไพรมารีโหวต เพราะเป็นการไปดูที่ยอดก่อน ค่อยไปจัดตั้งคนไปลงคะแนนเพื่อเป็นพิธีกรรม ทั้งนี้หากกระบวนการดังกล่าวมาจากฝ่ายที่ร่างกติกาถือว่าเลวมาก เพราะท่านร่างกติกาเอง บอกจะปฏิรูปการเมือง ให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง แต่ท่านก็ทำลายกติกาเอง”นายสมชัยกล่าว
นายสมชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้เหมือนกับว่าไพรมารีโหวตเปิดตัวแบบพระเอก แต่ตอนจบเป็นผู้ร้าย คือเริ่มต้นจากหลักการที่ดี แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่เกิดขึ้นตามหลักการดังกล่าว เพราะพรรคจะไปคิดถึงคนที่ชนะเลือกตั้ง คนมีอิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไร โดยผู้ร้ายตัวจริงไม่ใช่ไพรมารีโหวต แต่เป็นการเขียนกติกาแบบเกรงใจ จนทำให้ไพรมารีโหวตกลายเป็นผู้ร้าย เพราะกลัวพรรคเล็กจะทำไม่ไหว กลัวพรรคใหญ่จะได้รับเลือกตั้ง และตนคิดว่าภายใต้บทเฉพาะการและกติกาในปัจจุบันนี้ ไพรมารีโหวตกลายเป็นผู้ร้ายที่ยากจะเยียวยาให้กลับมาเป็นพระเอกได้ แต่หากคิดว่าเป็นการฝึกปฏิบัติ เป็นการเรียนรู้ และระยะหลังก็จะดีขึ้น ซึ่งตอนมองว่าไพรมารีโหวตจะดูเหมือนทางออกแต่จะกลายเป็นทางตัน แม้จะดูเหมือนเป็นทางตันก็อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันทะลุทุลวงให้ได้ เพราะหลักการเริ่มต้นถูกต้องแล้ว หากทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ก็จะดีขึ้น แต่อย่าเพิ่งยอมแพ้ตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตามขอยกตัวอย่างบอลโลก ฟีฟ่าไม่ควรจะมีทีมฟุตบอลลงแข่ง เพราะหากมีการส่งทีมลงแข่ง กติกาที่กำหนดก็จะไปเอื้อให้กับทีมของฟีฟ่า
ด้านนายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ปัญหาคือในสายระบบวิชาการนั้นไพรมารีโหวตไม่มี มีแต่ไพรมารีอิเล็คชั่น ซึ่งเป็นการเลือกตั้งระบบหนึ่งของอเมริกา โดยมีหลักการต้องการเลือกผู้สมัครจากระดับล่างขึ้นบน ซึ่งตนคิดว่าทำไม่ได้ เพราะความจริงทางการเมืองไทยพฤติกรรมการเลือกตั้งของไทยยังมีปัญหา นอกจากนั้นยังมีปัญหาข้อกฎหมาย โดยเฉพาะบทเฉพาะการในกฎหมายเลือกตั้ง ที่อนุโลมให้ใช้ตัวแทนประจำจังหวัดมาเลือกผู้สมัครในทุกเขตของจังหวัด ดังนั้นจึงกังวลว่าจะกลายเป็นการที่ผู้ที่ต้องการเป็นผู้สมัครไปไล่หาสมาชิกเพื่อมาเลือกตัวเอง ซึ่งจะไม่ใช่การเลือกจากสมาชิกพรรคอย่างแท้จริง ซึ่งจะกลายเป็นการที่พรรคคัดคนไปให้สมาชิกเลือกแทน ซึ่งคนใหม่ๆจะไม่มีโอกาสขึ้นมาได้เลย และที่สำคัญคือการติดล็อคคำสั่งที่ 53 ซึ่งยังไม่อนุญาตให้พรรคทำกิจกรรมทางการเมือง และพอมีการคลายล็อคก็จะมีเวลาน้อยมากที่จะทำไพรมารีโหวต ซึ่งถือเป็นการเขียนกฎหมายโดยไม่เข้าใจบริบทสังคม ถือเป็นบาปบริสุทธิ์ครั้งใหญ่
ขณะที่นายยุทธพร อิสรชัย อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า ไพรมารีโหวตอย่างเดียวแก้ปัญหาการเมืองไทยไม่ได้ เพราะยังมีปัญหาอื่นๆ ไพรมารีโหวตไม่ได้นำไปสู่ประชาธิปไตย หรืออาจนำไปสู่ประชาธิปไตยที่ไม่ตั้งมั่น ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี จนถึงแนวคิดประชาธิปไตยแบบไทยๆ ดังนั้นการมีระบบไพรมารีโหวตอย่างเดียวไม่พอที่จะแก้ปัญหาการเมืองไทย เพราะไม่ได้เป็นการเติบโตโดยธรรมชาติ แต่เป็นการเติบโตโดยกฎหมายและการบังคับ สุดท้ายจะทำให้ไพรมารีโหวตกลายเป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้น ดังนั้นไพรมารีโหวตจึงไม่ใช่ทั้งทางออกและทางตัน ซึ่งการแก้ปัญหาการเมืองไทยควรแก้ที่โครงสร้างหลัก อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาไพรมารีโหวตยังสามารถทำได้ ทั้งการใช้ ม.44 แก้ หรือการแก้โดยผ่าน สนช. แต่หากไม่มีการปรับแก้ก็จะเกิดปัญหาจนสุดท้ายไพรมารีโหวตการเป็นผู้ร้ายในสังคม แต่หากเรียนรู้และค่อยปรับกันไปก็จะช่วยทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็งขึ้นได้ในอนาคต.
ที่มาข่าว :https://www.dailynews.co.th/politics/654553