จำแนกชัดๆ! บทลงโทษจำเลยคดีละเว้นอ่างเก็บน้ำแม่เมาะ14ราย อดีตผู้ว่าฯ-นายอำเภอ-ปลัด คุก 16 ปี
"...คำพิพากษาศาลฯ ระบุว่า จำเลยที่ 1, 2 และที่ 7 เป็นผู้ก่อให้เกิดการกระทำความผิด และอยู่ในฐานะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จำเลยที่ 4 ถึง 6 เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดโดยตรง พบการกระทำความผิดแล้วละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ส่วนจำเลยที่ 8 ถึง 14 เป็นผู้บริหารส่วนท้องถิ่นและผู้ปกครองท้องถิ่นระดับล่างพบการกระทำความผิดแล้วละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เห็นสมควรลงโทษตามสภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งคดี..."
สืบเนื่องจาก สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำเสนอข่าวว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ค.2561 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีคำพิพากษาตัดสินลงโทษจำคุก นายดิเรก ก้อนกลีบ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พร้อมพวก 14 ราย โดยไม่รอลงอาญา ในคดีละเว้นการจับกุมผู้บุกรุกก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ กิ่วข้าวหลาม อ่างเก็บน้ำปงชัย อ่างเก็บน้ำแม่ทู และอ่างเก็บน้ำแม่หลวง ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติชี้มูลความผิดนายดิเรก พร้อมพวก 14 ราย ในช่วงเดือนมิ.ย.2557 ที่ผ่านมา โดย นายดิเรก และ นายเสริมศักดิ์ สีสันต์ อดีตนายอำเภอแม่เมาะ ถูกศาลตัดสินลงโทษคนละ 4 กรรมๆ และ 4 ปี รวมจำนวน 16 ปี ส่วนจำเลยอื่นถูกตัดสินโทษลดหลั่นกันลงมา เบื้องต้น จำเลยทั้งหมด ได้มีการยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวในช่วงเย็นวันเดียวกัน เพื่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์และฏีกาต่อไปแล้วนั้น (อ่านประกอบ : ศาลฯสั่งจำคุกอดีตผู้ว่าฯลำปาง-พวก14ราย คดีละเว้นอ่างเก็บน้ำแม่เมาะ-หัวขบวนโดน16 ปี)
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ เกี่ยวกับคดีนี้เพิ่มเติม ระบุข้อมูลรายชื่อจำเลยดังนี้
จำเลยที่ 1 นายดิเรกหรือ วรเดช ก้อนกลีบ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าฯ ลำปาง
จำเลยที่ 2 นายเสริมศักดิ์ สีสันต์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายอำเภอแม่เมาะ
จำเลยที่ 3 นายมงคล ธงสิบเจ็ด เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เจ้าพนักงานป่าไม้ 5 ทำหน้าที่ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลป 17 (แม่จางตอนขุน)
จำเลยที่ 4 นายถนอม โพธิ์วิจิตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เจ้าพนักงานป่าไม้ 5 ทำหน้าที่ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลป 38 (ท่าสี)
จำเลยที่ 5 นายอำนวย ศรีบุญชู เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เจ้าหน้าที่บริหารงานป่าไม้ 6 สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง)
จำเลยที่ 6 นายธนชาติ มังกิตะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เจ้าพนักงานป่าไม้ 5 สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมจังหวัดลำปาง
จำเลยที่ 7 นายประสาน ฝ่ายคำมี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ปลัดอำเภอแม่เมาะ
จำเลยที่ 8 นายสว่าง จาคำมา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลจางเหนือ
จำเลยที่ 9 นายพิสิฐ ทักษิณาพิมุข เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลนาสัก
จำเลยที่ 10 นายมนตรี จำปาคำ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง กำนันตำบลนาสัก อำเภอแม่เมาะ
จำเลยที่ 11 นายปรีดา ผลดี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ
จำเลยที่ 12 นายคำเภา บุญมา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 5 ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ
จำเลยที่ 13 นายวินัย ตันใจ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 ตำบลจางเหนือ อำเภอแม่เมาะ
จำเลยที่ 14 นายวิช อินจันทร์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 ตำบลนาสัก อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาต่อมา จำเลยที่ 3 นายมงคล ธงสิบเจ็ด ถึงแก่ความตาย ศาลจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ส่วนจำเลยที่ 1 นายดิเรกหรือ วรเดช จำเลยที่ 2 นายเสริมศักดิ์ จำเลยที่ 4 นายถนอม จำเลยที่ 5 นายอำนวย จำเลยที่ 6 นายธนชาติ จำเลยที่ 8 นายสว่าง จำเลยที่ 9 นายพิสิฐ ให้การปฏิเสธ
ส่วนจำเลยที่ 7 นายประสาน จำเลยที่ 10 นายมนตรี จำเลยที่ 11 นายปรีดา จำเลยที่ 12 จำเลยที่ 13 นายวินัย และจำเลยที่ 14 ให้การรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง แต่ให้การต่อสู้ว่าเป็นการกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน เพราะเชื่อโดยสุจริตว่าตนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 70
เบื้องต้น ศาลฯ มีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ถึง 14 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 การกระทำของจำเลยที่ 1, 2, 4 ถึงที่ 7 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ส่วนจำเลยที่ 8 ถึง 14 มีความผิดคนละ 1 กระทง
ทั้งนี้ คำพิพากษาศาลฯ ระบุว่า จำเลยที่ 1, 2 และที่ 7 เป็นผู้ก่อให้เกิดการกระทำความผิด และอยู่ในฐานะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
จำเลยที่ 4 ถึง 6 เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดโดยตรง พบการกระทำความผิดแล้วละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ส่วนจำเลยที่ 8 ถึง 14 เป็นผู้บริหารส่วนท้องถิ่นและผู้ปกครองท้องถิ่นระดับล่างพบการกระทำความผิดแล้วละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เห็นสมควรลงโทษตามสภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งคดี
สำหรับบทลงโทษนั้น จำเลยที่ 1, 2 และที่ 7 มีความผิดคนละ 4 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 4 ปี รวมจำคุกคนละ 16 ปี
จำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 มีความผิดคนละ 2 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 6 ปี
จำเลยที่ 8 ถึงที่ 14 มีความผิดคนละ 1 กระทง ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี แต่คำรับของจำเลยที่ 10 ถึง 14 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 10 ถึง 14 คนละ 1 ปี 4 เดือน
ส่วนจำเลยที่ 7 แม้จะรับข้อเท็จจริง แต่เป็นเพราะจำนนด้วยหลักฐานจึงไม่ลดโทษให้
ทั้งนี้ คำพิพากษาของศาลฯ ยังระบุว่า จำเลยที่ 1 , 2 และที่ 4 ถึง 14 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่กลับปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเสียเอง พฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรงจึงไม่รอการลงโทษให้
เบื้องต้น มีรายงานข่าวว่า ภายหลังรับฟังคำพิพากษาของศาล ซึ่งใช้เวลานานหลายชั่วโมง จำเลยทั้งหมด ได้ทำเรื่องยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัว เพื่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์และฏีกาต่อไป
ส่วนผลการต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองในชั้นต่อไป จะออกมาเป็นอย่างไร คงต้องติดตามดูกันต่อไปอย่างใกล้ชิด