ไทยเเพนยื่นอุทธรณ์กรมวิชาการเกษตร หลังพิจารณา 5 เดือน ไม่เปิดเผยข้อมูลต่อทะเบียนสารพิษ
ใช้เวลาพิจารณานาน 5 เดือน กรมวิชาการเกษตรไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลต่อทะเบียนสารพิษ 3 ชนิดขายได้อีก 6 ปี ภาคีสนับสนุนการแบนฯ เดินหน้าอุทธรณ์ต่อ ชี้ข้อมูลที่เกี่ยวพันกับสุขภาพ-สิ่งแวดล้อมต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ
สืบเนื่องจากที่กรมวิชาการเกษตรได้ได้อนุญาตให้มีการต่อทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช 3 ชนิด คือ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เมื่อ พ.ย. 2560 ทั้งที่ขัดกับมติคณะกรรมการขับเคลื่อน ปัญหาการใช้สารเคมีที่มีความเสี่ยงสูงกระทรวงสาธารณสุข
น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานภาคีเครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง (ไทยเเพน)เปิดเผยว่า ทางภาคีเครือข่ายฯ ได้ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารตามทางราชการ พ.ศ 2540 ขอให้ทางกรมวิชาการเกษตรเปิดเผยข้อมูลเอกสารเกี่ยวกับการต่ออายุใบสำคัญ บัญชีรายการสารเคมีที่ต่อทะเบียน คำขอต่อทะเบียน และรายงานการประชุมที่เกี่ยวข้อง แต่กรมวิชาการเกษตรได้ใช้เวลาถึง 5 เดือนเต็มที่จะตอบและยังปฏิเสธในการให้ข้อมูลดังกล่าว โดยอ้างว่าต้องขออนุญาตกับผู้ขอต่อทะเบียนเฉพาะราย และบัญชีรายชื่อสารเคมีที่ได้รับการต่อทะเบียนนั้นไม่ควรเปิดเผยโดยเห็นว่าอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ทางภาคีเครือข่ายฯจึงต้องใช้สิทธิอุทธรณ์ ต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารทางราชการ เพราะข้ออ้างของกรมวิชาการเกษตรนั้นขัดกฎหมายหลายฉบับ
"การที่กรมวิชาการเกษตรมีคำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร โดยไม่ได้ชี้แจงแสดงเหตุผลของคำสั่งหรือการใช้ดุลยพินิจให้ทราบโดยชัดแจ้ง มีเพียงการกล่าวถึงข้อกฎหมายที่อ้างอิง จึงขัดต่อมาตรา 37 แห่งพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539"
ผู้ประสานงานไทยเเพนกล่าวต่อว่า เอกสารบัญชีรายการต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายเป็นข้อมูลข่าวสารของราชการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตามประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เรื่อง การกำหนดให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดไว้ให้ ประชาชนเข้าตรวจดูได้ตามมาตรา 9(8) แห่งพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ซึ่งข้อมูลข่าวสารดังกล่าวมิได้กระทบถึงประโยชน์หรือส่วนได้เสียของผู้ใดเป็นการเฉพาะราย แต่ข้อมูลหรือเอกสารดังกล่าว กระทบถึงส่วนได้เสียสำคัญของประชาชนอันอาจได้รับผลกระทบทางสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการอนุญาตให้ใช้วัตถุอันตรายดังกล่าว
"ทางภาคีเครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ขอข้อมูลข่าวสารที่เป็นเอกสารประกอบคำขอต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทั้งหมดที่มีผู้ยื่นต่อกรมวิชาการเกษตร ไม่ได้ขอข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลที่เป็นความลับทางการค้าตามที่มีกฎหมายห้ามเปิดเผยแต่อย่างใด และไม่เป็นข้อมูลที่หากเปิดเผยจะกระทบต่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียอันจะต้องสอบถามความยินยอมจากผู้มีส่วนได้เสียนั้นก่อน" น.ส.ปรกชล กล่าว เเละว่าตรงกันข้ามกลับเป็นข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะและสวัสดิภาพความปลอดภัยของประชาชน เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐสามารถใช้ดุลยพินิจที่จะมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นได้โดยคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกันตามหลักเกณฑ์มาตรา 15 วรรคหนึ่ง ของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
การที่กรมวิชาการเกษตรมิได้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามคำขอโดยกล่าวอ้างว่าต้องขอความยินยอมจากผู้ยื่นคำขอต่ออายุทะเบียนเป็นรายกรณีเสียก่อนจึงจะเปิดเผยข้อมูลได้นั้น จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ด้วย
ทางภาคีเครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง จึงตัดสินใจอุทธรณ์และขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตามคำขอทั้งหมด เพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนและสร้างบรรทัดฐานที่ดีเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลของราชการโดยมิให้ล่าช้า อันมีลักษณะขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลในการใช้สิทธิตามกฎหมายและเพื่อให้หน่วยงานรัฐยึดถือปฏิบัติต่อไป
ทั้งนี้ หลังการต่อทะเบียนของกรมวิชาการเกษตรให้กับสารเคมีที่มีอันตรายร้ายแรงเหล่านี้ พบว่า มีการนำเข้าอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะ พาราควอต ปี 2560 นำเข้ามากถึง 44.5 ล้านกิโลกรัมเป็นการนำเข้ามากถึง 2 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับ 2557 และมากกว่าการนำเข้าในปี 2559 มากกว่า 41% ในขณะที่มีการนำเข้าคลอร์ไพรีฟอสเพิ่มขึ้นกว่า 60% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 .