จาก คอป.ถึงรัฐบาล : “แก้กฎหมายก่อการร้าย-ปลดล็อคคดีเดิม” ทางเริ่มปรองดอง
11 พ.ค.55 มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรื่อง “ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เกี่ยวกับกฎหมายการก่อการร้าย” ลงนามโดย ศ.คณิต ณ นคร ประธาน คอป.
ใจความว่า ตามที่ คอป. ได้มีข้อเสนอแนะก่อนการเสนอรายงานความคืบของ คอป.ครั้งที่ 1 เพื่อเป็นจุดเริ่มของการสร้างความปรองดองในชาติก่อนหน้าที่คณะรัฐบาลปัจจุบันเข้าบริหารประเทศมาแล้ว 2 ครั้งแล้ว กล่าวคือได้ปรารภถึงการใช้เครื่องพันธนาการกับผู้ถูกกล่าวหาของกรมราชทัณฑ์ซึ่งขาดความเหมาะสมและความถูกต้องตามหลักเกณฑ์อันเป็นสากล สมควรได้ปรับปรุงให้เหมาะสมและถูกต้องตามหลักเกณฑ์อันเป็นสากล และว่าการปรับปรุงดังกล่าวนี้ชอบที่จะกระทำเป็นการทั่วไป และเกี่ยวกับการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐของกระบวนการยุติธรรมที่ยังปฏิบัติไม่ถูกต้องตามหลักการแห่งกฎหมาย สมควรที่กระบวนการยุติธรรมของประเทศทุกองค์กรจะได้ทำความเข้าใจกันเสียใหม่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความปรองดองและเกิดสันติในชาติ
ต่อมาเมื่องานของ คอป. ครบกำหนดหกเดือนแรก และครบกำหนดหกเดือนที่สอง ได้เสนอรายงานความคืบหน้าให้รัฐบาลทราบ และยังได้เสนอแนะอีกสองครั้งเรื่องนโยบายสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย และเรื่อง“ความผิดที่ต้องให้อำนาจ” เมื่อครบกำหนดหกเดือนที่สาม คอป.ได้เสนอรายงานความคืบหน้าให้รัฐบาลทราบอีกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในครั้งนี้ได้เน้นย้ำเรื่องเครื่องพันธนาการและการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในอันที่จะสร้างความปรองดองและเกิดสันติในชาติ และได้เสนอแนะเกี่ยวกับการเยียวยาว่าควรกระทำใน “มิติการขอโทษ” และเงินที่ใช้ในการเยียวยาชอบที่จะปรากฏในงบประมาณประจำปี เพื่อว่าทุกปีที่มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ทุกฝ่ายในรัฐสภาจักได้มีโอกาสเน้นย้ำและรำลึกถึงการขอโทษกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
โดยหนังสือฉบับนี้ คอป.ใคร่ขอเสนอแนะในเรื่องอื่นที่ คอป. เห็นว่าจะเป็นหนทางในการนำไปสู่ความปรองดองและเกิดสันติในชาติต่อไปได้ คือ เรื่องเกี่ยวกับการก่อการร้าย ดังต่อไปนี้….
1.บทบัญญัติเกี่ยวกับการก่อการร้ายในประมวลกฎหมายอาญา คือ “ลักษณะ 1/1 ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย” ได้เกิดขึ้นในระบบกฎหมายของประเทศโดยไม่ถูกต้องตามหลักการแห่งประชาธิปไตย เพราะเกิดจากการตราเป็นกฎหมายโดย “พระราชกำหนด” กล่าวคือ โดย “พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2546” กรณีจึงต้องถือว่าการกระทำของรัฐบาลในขณะนั้น (รัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) เป็นการกระทำที่ไม่เคารพต่อเสียงข้างน้อยในรัฐสภา อันผิดหลักการแห่งประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการปกครองด้วยเสียงข้างมากก็จริงอยู่ แต่ก็ต้องเคารพต่อเสียงข้างน้อยในรัฐสภาด้วย
ซึ่งหากกฎหมายว่าด้วยการก่อการร้ายได้เข้าสู่รัฐสภาตามครรลองที่ถูกต้อง คือได้เสนอเป็น “ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา” แล้ว คอป.เชื่อว่าคงจะได้มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางในรัฐสภา เพราะเป็นร่าง พ.ร.บ.ที่มีความสำคัญมาก
2.บทบัญญัติของกฎหมายที่ปรากฏในประมวลกฎหมายอาญาเกี่ยวกับการก่อการร้ายดังกล่าวมาแล้วนั้น คอป. เห็นว่าได้บัญญัติขึ้นโดยฝ่าฝืน “หลักประกันในกฎหมายอาญา” ซึ่งเป็นหลักแห่งรัฐธรรมนูญอีกด้วย ก็เพราะบัญญัติขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อเรียกร้องเกี่ยวกับ “ความชัดเจนแน่นอน” ของการบัญญัติกฎหมายอาญา เพราะนิยามในทางปฏิเสธที่ปรากฏในบทบัญญัติมาตรา 135/1 ที่ว่า “การกระทำในการเดินกระบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย” นั้น เป็นการยากที่จะแบ่งแยกระหว่างการกระทำที่เป็นความผิดฐานก่อการร้ายกับการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานก่อการร้ายที่ยังไม่ได้ถูกฟ้องและที่ผู้ถูกฟ้องเป็นจำเลยไปแล้วที่เกี่ยวข้องกับความไม่สงบในบ้านเมืองในครั้งนี้ ล้วนแต่เกระทำการไปโดยมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองหรือเกี่ยวเนื่องกับการกระทำอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น
3. ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับความผิดฐานก่อการร้ายขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมฝ่ายเจ้าพนักงานของประเทศ อันได้แก่ พนักงานสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ รวมตลอดถึงอัยการ ยังมีปัญหาอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินคดีกับผู้ที่ถูกกล่าวหาอันเนื่องจากการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ จึงทำให้การดำเนินการสอบสวนของพนักงานสอบสวนและการสั่งคดีของพนักงานอัยการดูจะขาดความเชื่อถือศรัทธา
4.ความผิดฐานก่อการร้ายนั้น คอป.เห็นว่าเทียบได้กับความผิดฐานเป็นอั้งยี่ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญา กล่าวคือความผิดฐานเป็นการสกัดกั้นการก่อตั้งและการคงอยู่ต่อไปของ “สมาคมอั้งยี่” หรือ “สมาคมอาชญากรรม” เพื่อป้องกันการกระทำความผิดทั้งหลายที่ร้ายแรงที่จะเกิดตามมา บทบัญญัติของความผิดฐานเป็นอั้งยี่จึงเป็น “การป้องกันการกระทำความผิด” เป็นการบัญญัติความผิดที่มีเนื้อหาย้อนไปจัดการกับการกระทำในขั้นตอนของการกระทำอันเป็น “การตระเตรียมกระทำความผิด” เพราะหากสมาชิกอั้งยี่ได้ไปกระทำความผิดฐานอื่นใดต่อไป เช่น วางระเบิด วางเพลิง ฆ่าผู้อื่น โทษหนักสำหรับสมาชิกอั้งยี่ก็คือโทษของความผิดฐานวางระเบิด วางเพลิง ฆ่าผู้อื่น
5. “สมาคมอั้งยี่” หรือ “สมาคมอาชญากรรม” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 นั้นเป็นสมาคมอาชญากรรมภายในประเทศ ต่อมาได้พัฒนาไปสู่การเป็น “สมาคมอั้งยี่” หรือ “สมาคมอาชญากรรม” ที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ และกลายเป็น “สมาคมก่อการร้าย” ดังนั้นโดยนัยเดียวกันการกระทำที่เป็นความผิดฐานก่อการร้าย ก็คือการกระทำที่เป็นการรวมตัวกันจัดตั้ง “สมาคมก่อการร้าย” ซึ่งตามปกติการก่อการร้ายจะสัมพันธ์กับต่างประเทศอีกด้วย และหากสมาชิกสมาคมก่อการร้ายไปกระทำความผิดฐานอื่นใดขึ้น ก็จะเป็นการกระทำความผิดทำนองเดียวกับที่กล่าวมาแล้วในความผิดฐานเป็นอั้งยี่
6.ในทางหลักคิดทางกฎหมายอาญาแล้ว คอป. เห็นว่าลำพังการรวมตัวกันตั้งเป็น “สมาคมก่อการร้าย” ซึ่งเป็นความผิดฐานก่อการร้ายนั้น ระวางโทษตามกฎหมายต้องเบากว่าระวางโทษของความผิดร้ายแรง เช่น ความผิดฐานวางระเบิด ความผิดฐานวางเพลิง ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา เพราะเป็น “การตระเตรียมกระทำความผิด”
เมื่อเช่นนี้ระวางโทษสำหรับความผิดฐานก่อการร้ายย่อมจักต้องเบากว่าที่ปรากฏในกฎหมายของไทยเราในปัจจุบันอย่างมาก เช่น ความผิดฐานก่อการร้ายในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี แต่ของไทยเราปัจจุบันกลับมีระวางโทษถึงประหารชีวิต ซึ่งแสดงว่าการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นการกระทำที่ขาดความรู้และขาดความคิดในทางหลักการแห่งกฎหมายอาญาโดยสิ้นเชิง คอป. จึงเห็นว่าเป็นการละเมิด “หลักนิติธรรม” หรือ “หลักนิติรัฐ” โดยแท้
7. เมื่อกฎหมายว่าด้วยการก่อการร้ายของไทยไม่ตั้งอยู่บนหลักการแห่งระบอบประชาธิปไตย และหลัก “นิติธรรม” หลักแห่ง “นิติรัฐ” อย่างชัดแจ้ง ทั้งยังเป็นปัญหาเกี่ยวกับ “หลักประกันในกฎหมายอาญา” ในข้อว่าด้วย “ความชัดเจนแน่นอน” ของการบัญญัติกฎหมายอาญาดังกล่าวมาแล้ว คอป.จึงเห็นว่ากรณีเป็นปัญหาที่รัฐบาล รัฐสภา และฝ่ายค้าน ตลอดจนการเมืองทุกกลุ่มในรัฐสภาจักต้องร่วมกันทบทวนและหาทางออกเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และยับยั้งความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
คอป.ขอเสนอข้อสังเกตและข้อเสนอแนะต่อภาคการเมืองทุกฝ่าย ดังต่อไปนี้
7.1 คดีเกี่ยวกับการก่อการร้ายหลายคดีที่ได้ขึ้นสู่ศาลแล้วนั้น คอป.เห็นว่าเป็นการดำเนินคดีที่มีลักษณะเป็นการเหวี่ยงแหอันเกิดจากความไม่เข้าใจเนื้อหาที่แท้ของความผิดฐานก่อการร้าย จนทำให้จำเลยทุกคนและทุกฝ่ายขาดความเชื่อถือต่อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีความแน่ชัดว่าได้มีการก่อตั้งสมาคมก่อการร้ายหรือมีสมาคมก่อการร้ายเกิดขึ้นแล้วในบ้านเมืองเรา
7.2 เมื่อการดำเนินคดีในความผิดฐานก่อการร้ายทำให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศขาดความเชื่อถือศรัทธา ทางแก้โดยองค์กรในกระบวนการยุติธรรมตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่อาจทำได้ เช่น การสั่งไม่ฟ้องหรือการถอนฟ้องโดยพนักงานอัยการน่าจะเกิดขึ้นได้โดยยาก เพราะองค์กรอัยการดูจะไม่ค่อยร่วมมือในการสร้าง “ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน” แม้จะได้มีการเสนอในทางวิชาการมาแล้ว
7.3 ในขณะที่รัฐบาลในอดีต (รัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) ได้แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาโดยเพิ่มความผิดฐานก่อการร้ายโดยการออกพระราชกำหนดนั้น คอป. เชื่อว่ารัฐบาลขณะนั้นคงจะไม่คาดคิดว่าประเทศไทยเราจะเกิดความแตกแยกดังที่ปรากฏในปัจจุบัน เมื่อสถานการณ์ความแตกแยกกำลังปรากฏเป็นทางตันอยู่ในขณะนี้ กรณีจึงจำเป็นต้องปรับใช้ “ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน” และ “ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์” เพื่อสร้างความปรองดองและสันติให้เกิดขึ้นในชาติ
ดังนั้น คอป. จึงใคร่ขอเสนอให้รัฐบาล รัฐสภา ฝ่ายค้านและกลุ่มการเมืองทุกกลุ่มได้แสดงความกล้าหาญทางการเมืองโดยร่วมกันเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ 1/1 ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายเสีย เพื่อกลับไปสู่การเริ่มต้นที่ดีใหม่
7.4 เมื่อภาคการเมืองได้แสดงความกล้าหาญจนได้มีการยกเลิกความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายแล้ว “เงื่อนไขให้อำนาจดำเนินคดี” ก็ย่อมจะตกไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (5) ที่ว่า “สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับเมื่อมีกฎหมายออกใช้ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิดเช่นนั้น”
7.5 เมื่อ “สิทธินำคดีอาญามาฟ้อง” ระงับไป จึงทำให้ผู้ต้องหาและ/หรือจำเลยย่อมจะได้รับผลตามกฎหมายที่ยกเลิกกฎหมายนั้น กล่าวคือ คดีความที่ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการชั้นเจ้าพนักงานหรือการพิจาราของศาลก็จะเป็นอันยุติลง
7.6 การยกเลิกกฎหมายตามที่กล่าวมานี้ก็คือการใช้ “ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน” และ “ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์” และจะเป็นหนทางหนึ่งในการสร้างความปรองดองและสันติให้เกิดขึ้นในชาติโดยไม่กระทบต่อความรู้สึกขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม ส่วนการที่จะบัญญัติความผิดฐานก่อการร้ายในประมวลกฎหมายอาญาในอนาคต ซึ่งก็มีความสำคัญก็ย่อมจะกระทำได้ แต่ฝ่ายนิติบัญญัติและทุกฝ่ายจักต้องมีความรอบคอบมากกว่านี้โดยถือเอาอดีตเป็นบทเรียน
7.7 การยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการก่อการร้ายตามข้อเสนอแนะของ คอป. เท่ากับเป็นการที่รัฐบาลปัจจุบันและทุกฝ่ายได้ร่วมกันส่งเสริมหลักแห่งการปรองดองโดยการกระทำที่มีนัยสำคัญของ “การขอโทษต่อประชาชน” ในความผิดพลาดในอดีต (ความผิดพลาดของรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร)
7.8 การขอโทษประชาชนต่อความผิดพลาดในอดีตทำนองดังกล่าวนี้ เป็นหลักการสำคัญประการหนึ่งของการสร้างสันติและความปรองดองในชาติ อันกล่าวได้ว่าเป็นหลักการอันเป็นสากล ดังเช่น ประธานาธิบดี Mauricio Funes แห่งประเทศเอล ซัลวาดอร์ และนายกรัฐมนตรี Kevin Rudd แห่งประเทศออสเตรเลีย และผู้นำประเทศคนอื่น ๆ ได้กระทำเป็นแบบอย่างมาแล้ว
7.9 คอป.ใคร่ขอกราบเรียนด้วยว่าการขอโทษต่อประชาชนในความผิดพลาดในอดีตก็ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศไทยเรา กล่าวคือวันที่ 2 พ.ย. 49 พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ได้กล่าวคำขอโทษต่อหน้าข้าราชการ ผู้นำทางศาสนา และผู้นำท้องถิ่นจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ห้องน้ำพราว โรงแรม ซีเอส ปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี อันเป็นการขอโทษต่อประชาชนแทนรัฐบาลในอดีต (รัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ) และรัฐบาลดังกล่าว (รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ) ก็ได้ยอมรับถึงความผิดพลาดในนโยบายภาคใต้ของรัฐบาลตน ซึ่งพลเอกสุรยุทธ์ ได้ขอโทษแทนรัฐบาลตนเองที่กำลังบริหารประเทศด้วย ยิ่งกว่านั้นยังได้กล่าวคำขอโทษแทนตนเองในฐานะผู้บัญชาการทหารบกที่ได้พยายามคัดค้านการที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่เป็นผลจนถูกมองในลักษณะที่ไม่ได้ให้ความร่วมมืออีกด้วย
เหตุนี้ คอป. จึงขอเรียกร้องให้ทุกกลุ่มการเมืองทั้งในรัฐสภาและนอกรัฐสภาได้ร่วมกันกระทำตามที่ คอป. ได้กลั่นกรองอย่างรอบคอบแล้วและได้นำเสนอมานี้ และเรียกร้องให้กลุ่มการเมืองทุกฝ่ายได้ผนึกกำลังกันแสดงต่อประชาชนให้เป็นที่ประจักษ์ชัดถึงความจริงจังและจริงใจที่จะแก้ปัญหาบ้านเมือง โดยถือเอาประโยชน์ของบ้านเมืองก่อนประโยชน์ส่วนตน ดังที่นายโคฟี อันนัน เมื่อครั้งที่ได้มาเยี่ยมเยียนประเทศไทยเราตามคำเชิญของ คอป. ได้กล่าวไว้ ทั้งนี้เพื่อร่วมกันสร้างมาตรฐานความรับผิดชอบต่อประเทศชาติและต่อประชาชนอันจะเป็นการสร้างมาตรฐานทางการเมืองอันน่ายกย่องให้ปรากฏ
อนึ่ง หนังสือฉบับนี้ คอป. ได้มีไปถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรด้วยจึงกราบเรียนมาเพื่อรัฐบาลได้พิจารณาร่วมกันกับรัฐสภาและทุกฝ่าย เพื่อก้าวพ้นความขัดแย้งและเพื่อนำประเทศชาติไปสู่ความสงบและสันติต่อไป
