'บิ๊กโจ๊ก' จับมือตำรวจฟิลิปปินส์บุกทลายศูนย์สั่งการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กลางกรุงมะนิลา
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันแถลงผลความร่วมมือกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ประเทศฟิลิปปินส์ บุกทลายแก๊ง call center กลางกรุงมะนิลา
เมื่อคืนวันที่ 14 มิ.ย. 2561 เวลา 23.00 น. ที่ห้องประชุมชั่วคราว สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. หัวหน้าชุดปฏิบัติการประจำศูนย์ป้องกันและปรามปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท.1 บช.ทท. พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบก.ทท.2บช.ทท. นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สายปฏิบัติการ 1) พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ได้ร่วมกันแถลงผลความร่วมมือกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ประเทศฟิลิปปินส์ บุกทลายแก๊ง call center กลางกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และสามารถจับกุมคนไทยที่ร่วมกระบวนการได้ 16 คน และชาวไต้หวันผู้ต้องหารายสำคัญ 3 คน พร้อมของกลางเป็นจำนวนมาก มูลความเสียหายที่หลอกลวงคนไทยกว่า 30 ล้านบาท
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.กล่าวว่า สำหรับการบุกเข้าทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในประเทศฟิลิปปินส์ครั้งนี้ เป็นความร่วมมือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงยุติธรรมประเทศฟิลิปปินส์ ร่วมกับตำรวจท่องเที่ยวไทย หลังสืบทราบว่า ในหมู่บ้านโพซาดัส วินเลส เขตอาราบัง กรุงมะนิลา ถูกกลุ่มคนใช้จัดตั้งเป็นศูนย์สั่งการของคอลเซ็นเตอร์ เพื่อหลอกลวงคนไทยมากกว่าหนึ่งปี
จึงประสานกำลังเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงยุติธรรมประเทศฟิลิปปินส์ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวของประเทศไทย เข้าตรวจสอบได้พบว่าศูนย์สั่งการของคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวอยู่ภายใน หมู่บ้านโพซาดัส วินเลส เขตอาราบัง กลางกรุงมะนิลา เป็นบ้านเดี่ยวหรู 2 ชั้น มีรั้วรอบขอบชิดและติดตั้งกล้องวงจรปิด ไว้รอบบ้านเพื่อดูความเคลื่อนไหวของคนภายนอก ในบ้านหลังดังกล่าวแบ่งออกเป็นห้อง มีโต๊ะ พร้อมอุปกรณ์สื่อสารทั้ง คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ซิมโทรศัพท์พร้อมใช้งาน, สมุดบัญชีธนาคาร และโพยรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูง รวมถึงบทความการพูดคุยระหว่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์กับเหยื่อที่กำหนดไว้ และพบคนไทยจำนวน 16 คน กำลังทำหน้าที่โทรศัพท์หาเหยื่อปลายทางในประเทศไทย
โดยรายล่าสุดหลอกผู้เสียหายซึ่งเป็นคนไทยที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ให้โอนเงินได้เงินไปกว่า 2 ล้านบาท โดยมีชายชาวไต้หวัน 3 คน ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมและสั่งการ ซึ่งผู้ต้องหาชาวไต้หวันที่ถูกจับกุมได้ทั้ง 3 คน ยังเป็นผู้ต้องหารายสำคัญที่ทางการไต้หวันต้องการตัว ซึ่งถือว่าศูนย์ปฏิบัติการแห่งนี้เป็นศูนย์สั่งการขนาดใหญ่ โดยกลุ่มนี้มีการเปลี่ยนวิธีการโอนเงิน เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปกดเงินในประเทศไทย โดยหันมาใช้บริการอีแบงค์กิ้ง ในการรวบรวมเงินจุดเดียว ซึ่งสามารถทำรายการที่ไหนก็ได้
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสอบสวนคนไทยซึ่งถูกควบคุมตัวทั้งหมดให้การรับสารภาพยอมรับว่า ได้โทรศัพท์กลับไปหลอกลวงคนไทยในประเทศไทยจริงโดยบทสนทนาส่วนใหญ่ จะเป็นเรื่องของการส่งสินค้ากลับไปต่างแดน และผู้ต้องหาทั้งหมดยังอ้างว่า ตนเองทั้งหมดถูกหลอกให้มาทำงานที่นี้
แต่จากการตรวจสอบการเดินทาง พบว่าหลายคนเดินทางเข้าออกระหว่างประเทศไทยและฟิลิปปินส์มาหลายครั้ง โดยหลังนี้จะมีการส่งตัวคนไทยทั้งหมดกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย อีกทั้งจะดำเนินการจับกุมกลุ่มคนไทย ที่ทำหน้าที่รวบรวมคนไทยส่งไปทำงานในต่างแดนโดยอ้างว่าจะมีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน