นักวิชาการชี้ การรณรงค์ส่งเสริมการอ่านของไทยมีข้อจำกัดแนะรัฐปฏิรูปทั้งระบบฯ
นักวิชาการ ระบุ การรณรงค์ส่งเสริมการอ่านของไทย มีข้อจำกัด ชี้ ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยไม่รักการอ่าน มาจาก “ระบบการเลี้ยงดู และระบบการศึกษา” แนะ ภาครัฐ ควรปฏิรูปทั้งระบบฯให้เป็นองค์รวม เชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศทุกด้าน
จากรายงานวิจัยเรื่อง “การรณรงค์ให้คนส่วนใหญ่รักการอ่านเพิ่มขึ้น” โดย รศ.วิทยากร เชียงกูล คณบดีกิตติคุณ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า โครงการส่งเสริมการอ่านของไทยที่ทำกันมา ยังไม่สามารถเข้าถึงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง แม้ว่าภาครัฐและภาคเอกชนของไทยตระหนักถึงเรื่องปัญหาคนไทยอ่านน้อย และจัดให้มีโครงการส่งเสริมให้ประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนรักการอ่านหนังสือหลายโครงการ เช่น การให้รางวัลวรรณกรรม,การคัดเลือกและประกาศรายชื่อหนังสือดี, โครงการหนังสือเล่มแรก หรือ การจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่มีทั้งการขายหนังสือ ลดราคา , นิทรรศการ ,การประชุมสัมมนาและการรณรงค์ส่งเสริมการอ่านหนังสือด้วยวิธีการต่างๆ
แต่โครงการเหล่านี้เป็นโครงการโดดๆ เฉพาะกิจที่เข้าถึงและได้ผลเฉพาะเด็ก เยาวชน และประชาชนบางกลุ่มที่เข้าถึงโครงการหรือกลุ่มที่พอจะสนใจเรื่องการอ่าน หรือเห็นประโยชน์ของการอ่านอยู่บ้างแล้วเท่านั้น ทำให้โครงการส่งเสริมการอ่านเท่าที่ทำกันมาทั้งหมด ยังไม่สามารถเข้าถึงประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศได้ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง โดยข้อจำกัดที่สำคัญคือ โครงการเหล่านี้ เลือกใช้วิธีการแก้ไขปัญหา มองปัญหาแบบแยกเป็นส่วนๆ และใช้โครงการส่งเสริมการอ่านเพิ่มเติมจากภายนอกระบบการเลี้ยงดูลูก และระบบการศึกษา ทั้งๆ ที่ ระบบการเลี้ยงดูเด็ก และระบบการศึกษาของไทย คือ สาเหตุหลักหรือต้นตอของปัญหาที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เห็นว่าไม่จำเป็นและนำไปสู่การไม่ชอบอ่านหนังสือ ดังนั้น หากจะรณรงค์ให้คนไทยส่วนใหญ่ทั้งประเทศรักการอ่านเพิ่มขึ้นได้อย่างจริงจัง ต้องมุ่งแก้ไขที่สาเหตุหลักของปัญหาแบบผ่าตัดปฏิรูป ทั้งระบบการเลี้ยงดูเด็กและการศึกษาอย่างเชื่อมโยงเป็นระบบองค์รวมกับการพัฒนาประเทศในทุกด้าน
ขณะที่การส่งเสริมการอ่านของประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศพม่า หนึ่งในสมาชิกประชาคมอาเซียนที่กำลังจะกลายเป็นพลเมืองอาเซียนในปี 2558 ซึ่งยอมรับว่า ที่ผ่านมาพม่าเป็นประเทศปิดแม้จะมีพื้นที่ชายแดนติดกับจังหวัดทางภาคเหนือและภาคตะวันตกของไทย ทำให้การรับรู้เรื่องราวต่างๆภายในของประเทศพม่าค่อนข้างจำกัด แต่เมื่อ...วันนี้พม่าเปิดประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมก้าวสู่ประชาคมอาเซียน เป็นโอกาสดีที่เราจะได้เรียนรู้ประเทศพม่าในแง่ของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านการส่งเสริมการอ่าน รวมถึงนโยบายการส่งเสริมการศึกษาปัจจุบันเกี่ยวกับการพัฒนาความรู้ผ่านบทบาทของ ‘ห้องสมุดพม่า’ โดยรายงานวิจัยของ ดร.ถั่น ทอ คอง (Dr. Thant Thaw Kaung) ผู้ก่อตั้งมูลนิธิอนุรักษ์หนังสือพม่า ,ผู้อำนวยการมูลนิธิฟื้นฟูห้องสมุดจากภัยพิบัตินาร์กิส ประจำประเทศพม่า(director of Nargis Library Recovery Foundation in Myanmar) และผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิห้องสมุดพม่า (executive director of Myanmar Library Foundation) ยอมรับว่า พม่าถือเป็นประเทศสุดท้ายที่เปิดตัวสู่โลกภายนอกหลังปิดประเทศมายาวนาน ทำให้พม่าอาจต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดังนั้น รัฐบาลพม่าจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะกระทรวงการศึกษาและการสาธารณสุข พร้อมกับ องค์กรภาคเอกชน หรือกลุ่ม NGOs จะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
“ที่ผ่านมาห้องสมุดของพม่ายังไม่ได้รับความสนใจจากรัฐบาลพม่าเท่าที่ควร แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันในปีงบประมาณ 2012-2013 รัฐบาลพม่าได้มีการปรับงบประมาณในการพัฒนาด้านการศึกษาเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าของปีที่แล้ว แม้หลายฝ่ายจะยินดีกับการปรับเพิ่มครั้งนี้ แต่งบประมาณที่ได้ก็ยังคงต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน และส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย แต่นำไปใช้ในการฝึกอบรมครูและพัฒนาห้องสมุดน้อยมาก ตามที่นักเศรษฐศาสตร์ของพม่าระบุว่า ในฐานะเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างพม่า อย่างน้อย ร้อยละ 14 - 20 ของงบประมาณที่จัดสรรให้กับภาคการศึกษาทั้งหมด นอกจากนี้พม่ายังมีความท้ายทายในการส่งเสริมการพัฒนาความรู้อื่นๆ อีกมาก”
