อย. ขีดเส้น ไม่เกิน 4 เดือน ตรวจสอบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอางครบทุกไลน์การผลิต
อย. ขีดเส้น ไม่เกิน 4 เดือน ตรวจสอบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอางครบทุกไลน์การผลิต จาก 7 แสนรายการ
นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า หลังจากกระทรวงสาธารณสวุข เตรียมออกประกาศ ในเดือนมิถุนายน เพื่อเข้าไปตรวจสุขลักษณะของสถานที่ผลิตเครื่องสำอาง และอาหารเสริม ให้เสร็จภายใน 3 เดือน หรือประมาณเดือนกันยายนนี้ ทุกผลิตภัณฑ์ที่มีการออกเลข อย. จะต้องได้รับการตรวจสอบทั้งหมด หากเลขอย.ใดมีการเลิกผลิตแล้วก็ขอให้ไปแจ้งยกเลิก ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เบื้องต้นจะได้ รวบรวม ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 600,000 ผลิตภัณฑ์ ,ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 40,000 รายการ มาตรวจสอบผ่าน http://porta.fda.moph.go.th/ เพื่อดูว่า ยังคงมีการผลิตอยู่จริงหรือไม่ และมีสถานที่ผลิต ผู้ผลิตจริงหรือไม่ หากมีอยู่ ก็เตรียมเข้าไปตรวจสอบโรงงานเพื่อดูมาตรฐานการผลิต ว่าถูกต้องหรือไม่ สำแดงสูตร และกระบวนการผลิตตรงกันหรือไม่ เพราะบางผลิตภัณฑ์เมื่อผ่านการตรวจสอบ จากอย.ในครั้งแรก ก็มีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการผลิต หรือบางรายก็เลิกกระบวนการผลิตแล้ว เชื่อว่า จากนี้ ตัวเลข ของกลุ่มเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ยังเหลืออยู่ในท้องตลาดอย่างแท้จริงจะลดลงไปอีกมาก
นพ.พูลลาภ กล่าวว่า ในการกระบวนการตรวจสอบเลขอย. สามารถพบได้ทั้งข้อมูลที่ถูกต้อง และข้อมูลเท็จ คือ เมื่อคีย์เลข อย. ไม่ปรากฎทั้งขื่อผลิตภัณฑ์ ที่ขออนุญาต สถานที่ผลิต แสดงว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกันก็อาจพบการสวมเลขอย.ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นเข้ามาแทน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คิดว่าผลิตภัณฑ์นี้มีการขออนุญาตอย่างถูกต้อง ซึ่งในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้อง ก็จะแจ้งให้สำนักงานสาธารณสุข เร่งตรวจสอบนำออกจากท้องตลาด ไม่ให้หลงเหลือหลอกลวงผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็จะตรวจสอบหาสถานที่ลักลอบผลิตเพื่อดำเนินคดีต่อไป อย่างไรก็ตาม ในอนาคตเลข อย. จะมีอายุ และกำหนดให้มีการต่ออายุ เพื่อมาขึ้นทะเบียน และตรวจสอบสถานที่ผลิต ,คุณภาพมาตรฐาน , เหมือนเช่นในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่ขณะนี้ เลขอย มีอายุแค่ 3 ปี ต้องมีการต่อทะเบียน และตรวจสอบโรงงานทุกครั้ง
นพ.พูลลาภ กล่าวว่า ขณะเดียวกันการตรวจสอบผลิตภัณฑ์จะครอบคลุมไปถึง การตรวจสอบโฆษณาด้วย หากพบมีข้อความ แสดงถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เห็นผล 3 วัน ,5 วัน , 7 วัน ขอให้ผู้บริโภคคิดพิจารณาว่า อาจไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีควรามปลอดภัย เพราะแม้ได้รับการขอนุญาตอย่างถูกต้อง แต่อาจมีการเติมสารอันตราย ต่อสุขภาพร่างกายด้วย ส่วนจังหวัดที่คาดว่า จะต้องมีการตรวจสอบมากและใช้ระยะเวลาพอสมควร ต้องมีเจ้าหน้าที่ส่วนกลางช่วย คงไม่พ้น จังหวัดปริมณฑล ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรม และโรงงาน อาทิ พระนครศรีอยุธยา ,นครปฐม ,สมุทรปราการ ,ปทุมธานี เป็นต้น
ที่มาข่าว:http://www.tnamcot.com/view/5aeed15ce3f8e40ad0c4692e