ฉบับเต็ม!คำพิพากษา ผบช.ก.ซุกที่ดิน 53 แปลง คอนโดฯ 6 ห้อง นับโทษจาก 4 คดีเก่า
เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม ‘พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์’ อดีต ผบช.ก.ซุกที่ดิน 53 แปลง คอนโดฯ 6 ห้อง เจ้าตัวอ้างจำไม่ได้ว่าเหตุใดไม่ยื่นบัญชีฯ ป.ป.ช. ศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 1 เดือนไม่รอลงอาญา นับโทษจาก 4 คดีเก่าด้วย
เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2561 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาจำคุก 1 เดือน โดยไม่รอลงอาญา พล.ต.ท.หรือนายพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อายุ 64 ปี อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ในคดีหมายเลขดำ อม.250/2560 ที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ( ผบช.ก.) จงใจแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จรวม 59 รายการ ประกอบด้วยที่ดิน 53 แปลงและห้องชุด 6 ห้อง
วันที่ 18 เม.ย.2561 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำพิพากษาคดีดังกล่าว
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงมาเสนอ
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2553 ต่อมาผู้ร้องออกประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 40 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 กำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งจะต้องมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และเป็นตำแหน่งที่ต้องเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ดังนี้ ...7) ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 ขณะผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หลังจากนั้นวันที่ 24 ต.ค.2555 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องกรณีเข้ารับตำแหน่ง โดยไม่แสดงทรัพย์สิน คือ ที่ดิน 53 แปลง ห้องชุด 6 ห้อง รวมทรัพย์สิน 59 รายการ ผู้ถูกกล่าวหา พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 23 พ.ย.2557
@จำไม่ได้ว่าเหตุใดไม่แสดง
ผู้ร้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาให้ถ้อยคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่าทรัพย์สินทั้ง 59 รายการดังกล่าวเป็นของผู้ถูกกล่าวหา แต่ผู้ถูกกล่าวหาจำไม่ได้ว่าเหตุใดจึงไม่แสดงทรัพย์สินทั้ง 59 รายการดังกล่าวไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ผู้ถูกกล่าวหาเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.293/2558 คดีหมายเลขแดงที่ อ.565/2558 คดีหมายเลขแดงที่ อ.566/25558 และคดีหมายเลขแดงที่ ฟย.2/2558 ของศาลอาญา ที่ผู้ร้องขอให้นับโทษต่อ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีเข้ารับตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือไม่
ในปัญหาดังกล่าว มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 บัญญัติว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ หมายความว่า …ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นซึ่งมีตำแหน่ง หรือเงินเดือนประจำ พนักงาน หรือบุคคลผู้ปฏิบัติงานในรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ … มาตรา 40 บัญญัติว่า ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจกำหนดตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเพิ่มเติมจากมาตรา 39 ได้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และผู้ร้อง ออกประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งจะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 40 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 กำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งจะต้องมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และเป็นตำแหน่งที่ต้องเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ดังนี้ ...7) ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 ขณะผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่ง ทุกสามปีที่อยู่ในตำแหน่ง และเมื่อพ้นจากตำแหน่ง ตามแบบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด... ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ 24 ต.ค.2555 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องกรณีเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยไม่แสดงรายการทรัพย์สิน รวม 59 รายการ ผู้ร้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว
ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงว่าทรัพย์สินที่ไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้อง เป็นของผู้ถูกกล่าวหา แต่ผู้ถูกกล่าวหาจำไม่ได้ว่าเหตุใดไม่แสดงทรัพย์สินดังกล่าวไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
@คำชี้แจงไม่พอให้รับฟัง
เห็นว่า คำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหาไม่มีเหตุผลเพียงพอให้รับฟัง พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ใส่ใจต่อการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นหน้าที่สำคัญของ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ถูกกำหนดไว้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ร้องมีข้อมูล ในการตรวจสอบผู้ใช้อำนาจรัฐบริหารราชการแผ่นดินตลอดระยะเวลาที่ผู้นั้นดำรงตำแหน่งว่ามีทรัพย์สิน และหนี้สินเปลี่ยนแปลงผิดปกติหรือไม่ อันเป็นมาตรการสำคัญที่ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัดเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตเกิดประสิทธิภาพ
จึงฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีผลห้ามมิให้ ผู้ถูกกล่าวหาดํารงตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเฉพาะตําแหน่งตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 39 และมาตรา 40 เป็นเวลาห้าปี นับแต่วันที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ .ศ. 2542 มาตรา 41 วรรคหนึ่ง นอกจากนี้การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวยังเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นบัญชี แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ด้วย
@นับโทษต่อจาก 4 คดี
พิพากษาว่า พลตำรวจโท หรือ นายพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้ถูกกล่าวหา จงใจยื่นบัญชี แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีเข้ารับตำแหน่ง ในการดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจ สอบสวนกลาง ห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเฉพาะตำแหน่ง เป็นเวลาห้าปี นับแต่วันที่ 23 พ.ย.2557 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่ง กับมีความผิด ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 จำคุก 2 เดือน ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน นับโทษจำคุกต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.293/2558 คดีหมายเลขแดงที่ อ.565 /2558 คดีหมายเลขแดงที่ อ.566 /2558 และคดีหมายเลขแดงที่ ฟย.2/2558 ของศาลอาญา. ( คดีหมายเลขแดงที่ อม. 35/2561-27 ก.พ.2561)
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/A/026/37.PDF
อ่านประกอบ:
พงศ์พัฒน์ อดีต ผบช.ก.โดนอีกคดี! ป.ป.ช.ฟันซุกบัญชีฯ-ยื่นเท็จ ส่งศาลฎีกาตัดสิน