ค้าออนไลน์นอกระบบอ่วม สรรพากรลุยแก้กม.รีดภาษี
“สรรพากร” เอาจริง ลุยแก้กฎหมายสั่งสถาบันการเงินรายงานการทำธุรกรรมทางการเงิน “ฝาก-โอน” เกิน 3 พันครั้งต่อปี เสี่ยงผิดปกติต้องเข้าข่ายตรวจการเสียภาษี แจงไม่กระทบผู้เสียภาษีถูกต้อง ขณะที่ผู้ค้าออนไลน์นอกระบบ ข้าราชการทุจริต และธุรกิจสีเทา มีหนาว!
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า การเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ..... เพื่อรองรับระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (e-payment) จะทำให้การเก็บภาษีมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรมกับผู้เสียภาษีถูกต้องอยู่แล้วมากขึ้น
อธิบดีกรมสรรพากรกล่าวว่า สำหรับสาระสำคัญของกฎหมายคือ ผู้เสียภาษีสามารถยื่นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงรายการหรือเอกสารเกี่ยวกับภาษีอากรสามารถกระทำโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดให้สถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินของรัฐ และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ รายงานการทำธุรกรรมการเงินของลูกค้าให้กรมสรรพากรรับทราบ ประกอบด้วย 1.การฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปี และ 2.การฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 200 ครั้ง และมียอดรวมของกันตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป โดยกรมสรรพากรจะเก็บข้อมูลเป็นเวลานาน 10 ปี
ทั้งนี้ หากสถาบันการเงินดังกล่าวไม่ปฏิบัติตาม ปรับ 1 แสนบาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 1 หมื่นบาท จนกว่าจะรายงานข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วน ในส่วนของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรที่เปิดเผยข้อมูลผู้เสียภาษีก็มีการปรับโทษเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
นายประสงค์กล่าวว่า การแก้กฎหมายนี้ไม่กระทบกับผู้เสียภาษีที่ดำเนินการถูกต้องอยู่แล้ว เช่น พนักงานหรือข้าราชการรับเงินเดือน และเดิมกรมสรรพากรก็มีอำนาจที่จะขอดูข้อมูลการเงินของผู้เสียภาษีอยู่แล้ว แต่การใช้อำนาจดังกล่าวอาจถูกมองว่าเลือกปฏิบัติ ซึ่งกฎหมายใหม่สถาบันการเงินต้องส่งรายงานธุรกรรมให้กรมสรรพากร ก็เป็นการลดดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เพราะระบบจะเป็นคนทำงาน และจะแจ้งเตือนว่าผู้มีเงินได้ใดที่กรมสรรพากรเข้าไปตรวจสอบให้ถูกต้อง
นอกจากนี้ การกำหนดครั้งการทำธุรกรรมก็เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ที่ทำธุรกรรมการเงินปกติและเสียภาษีถูกต้อง เพราะคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้กำหนด ซึ่งมองว่าการโอนเงินปีละ 3,000 ครั้ง หรือประมาณวันละ 10 ครั้ง น่าจะเป็นการทำธุรกรรมที่ไม่ปกติ และควรได้รับการตรวจสอบหรือการโอนเงิน 200 ครั้ง แต่ละครั้งมีจำนวนมาก ก็น่าถูกตรวจสอบว่ารายได้มาจากอะไร และมีการเสียภาษีที่ถูกต้องอยู่แล้ว
"ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายคือร้านค้าออนไลน์ที่ยังไม่อยู่ในระบบภาษี ข้าราชการที่ทุจริตมีโอนเงินเข้าบัญชีของตัวเอง และธุรกิจสีเทาผิดกฎหมาย ซึ่งจะเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ไม่กระทบกับผู้เสียภาษีที่ถูกต้อง แต่การออกกฎหมายนี้จะทำให้ประเทศดีขึ้น เพราะจะมีการเสียภาษีให้ถูกต้องมากขึ้น ป้องกันการทุจริตของข้าราชการ และการค้าขายของผิดกฎหมายได้" นายประสงค์กล่าว
นายประสงค์กล่าวอีกว่า นโยบายของกรมสรรพากรตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ได้เน้นการเสียภาษีให้ถูกต้อง ผู้ที่อยู่นอกระบบต้องเข้ามาอยู่ในระบบ เพื่อให้เกิดเป็นธรรมกับผู้เสียภาษีที่ถูกต้องอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่อยู่ในระบบก็ต้องเสียให้ครบถ้วน กรมสรรพากรจึงมีมาตรการบัญชีเดียวไม่ย้อนหลังเอาผิด ขอให้เริ่มเสียภาษีให้ถูกต้อง และในปี 2562 การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินต้องใช้บัญชีที่ยื่นกับกรมสรรพากร หากไม่ทำให้ถูกต้องก็จะไม่ขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้