ระหว่างบรรทัดของคำพิพากษาคดี"อิสลามบูรพา" ทำไมศาลสั่งประหาร 5 จำเลย!
เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีคำพิพากษาคดีสำคัญคดีหนึ่งที่ไม่ค่อยเป็นข่าวแพร่หลายนัก นั่นคือคดีที่ศาลจังหวัดนราธิวาสพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลย 5 คนจาก 7 คนที่ถูกจับกุมพร้อมยึดอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนมากได้ภายในโรงเรียนอิสลามบูรพา โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาชื่อดัง ตั้งอยู่ที่ ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส
แม้จะเป็นเพียงคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่ก็กล่าวกันในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงว่า เป็นคดีที่มีการสืบพยานอย่างเป็นระบบ และเจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหาได้ดีที่สุดคดีหนึ่ง ท่ามกลางกระแสความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมอันสืบเนื่องจากสถิติคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ศาลพิพากษายกฟ้องมีมากกว่าร้อยละ 50 เฉพาะปี 2554 พุ่งไปถึงร้อยละ 78
ทว่าคดีนี้ศาลลงโทษจำเลยทุกคนที่ได้ตัวมาฟ้อง และลงโทษบทหนักสุดคือประหารชีวิต!
ยิ่งไปกว่านั้นในคำพิพากษายังมีรายละเอียดหลายอย่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหลักฐานสำคัญที่นำไปสู่การลงโทษ และยุทธวิธีตลอดจนการทำงานของกลุ่มก่อความไม่สงบที่มีอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน ซึ่งสอดแทรกอยู่ระหว่างบรรทัดของคำพิพากษาคดีนี้
เปิดคำฟ้อง
เมื่อวันที่ 16 มี.ค.2555 ศาลจังหวัดนราธิวาสมีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดนราธิวาส เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายมะนาเซ ยา, นายมามะคอยรี สือแม, นายแวอัสมิง แวมะ, นายโมหะหมัดซอฮีมี ยา, นายมะฟารีส บือราเฮง, นายรุสลี ดอเลาะ และนายฮารง หรือ อารง บาเกาะ เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ความผิดต่อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อาวุธปืนฯ และความผิดต่อพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม
คำฟ้องสรุปว่า จำเลยทั้ง 7 และ นายตอริก พีรีซี ซึ่งเป็นเยาวชนและได้แยกดำเนินคดีต่างหากแล้ว กับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรม กล่าวคือประมาณต้นปี 2547 ถึงวันที่ 2 ก.ค.2550 จำเลยทั้ง 7 กับพวกร่วมกันเข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลชื่อ "ขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานี" หรือ "ขบวนการบีอาร์เอ็น" ซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการ และมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นกบฏแบ่งแยกราชอาณาจักรและยึดอำนาจการปกครองใน จ.ปัตตานี จ.ยะลา จ.นราธิวาส และ จ.สงขลา บางอำเภอ แล้วจัดตั้งเป็นรัฐขึ้นใหม่ โดยสะสมกำลังพลและอาวุธ ให้และรับการฝึกการก่อการร้าย ยุยงประชาชนให้เข้ามีส่วนร่วม และก่อเหตุรุนแรงต่างๆ
วันที่ 2 ก.ค.2550 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 7 กับพวกร่วมกันมีเชื้อปะทุไฟฟ้า 24 ดอก เชื้อปะทุชนวน 8 ดอก ซึ่งเป็นวัตถุระเบิด เมื่อนำมาประกอบรวมกับปุ๋ยยูเรีย น้ำมันเบนซิน แอมโมเนียมไนเตรท นาฬิกาข้อมือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ชุดวงจรไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และตะปูคอนกรีต จะเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่ทำอันตรายต่อชีวิตและร่างกาย
พร้อมกันนี้ยังร่วมมีอาวุธปืนสั้นขนาด .38 พร้อมเครื่องกระสุน อาวุธปืนสั้นขนาด 9 มม.พร้อมเครื่องกระสุน และอาวุธปืนลูกซองยาว พร้อมเครื่องกระสุน ซึ่งเป็นปืนที่ไม่มีใบอนุญาต ทั้งยังร่วมกันมีเครื่องวิทยุคมนาคมเพื่อดักรับสัญญาณที่มิได้มุ่งหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะด้วย
เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยที่ 1-6 ได้พร้อมอาวุธปืน เครื่องกระสุน เครื่องวิทยุคมนาคม วัตถุระเบิด อุปกรณ์ส่วนประกอบของวัตถุระเบิด ฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์ที่บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับการก่อการร้ายได้ที่ ต.กะลุวอเหนือ อ.เมืองนราธิวาส เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2550 แต่ในชั้นสอบสวนและชั้นศาลจำเลยให้การปฏิเสธ
นอกจากนั้น ระหว่างพิจารณาคดี จำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับอนุญาตจากศาลให้ไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมืองนราธิวาส ยังได้หลบหนีจากความควบคุมของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์อีกด้วย ศาลจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวสำหรับจำเลยที่ 2
สรุปข้อเท็จจริง
โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2550 เวลาประมาณ 00.30 น. เกิดระเบิดที่สวนยางพาราของ นายสุข คงจันทร์ บริเวณบ้านเขานาคา หมู่ 5 ต.กะลุวอ อ.เมืองนราธิวาส นายสุขได้เข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ตันหยง จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจที่เกิดเหตุ พบหลุมระเบิดและหยดเลือด จึงสันนิษฐานว่าคนร้ายจะวางกับระเบิด แต่เกิดระเบิดขึ้นก่อนจนตัวเองได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบรอยเลือดเป็นทางยาวจากหลุมระเบิดประมาณ 30 เมตร หายเข้าไปในสวนยางพาราหลังโรงเรียนอิสลามบูรพา ตั้งอยู่ที่บ้านใหม่ หมู่ 5 ต.กะลุวอเหนือ อ.เมืองนราธิวาส ซึ่งห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร หลังจากนั้นจึงมีการระดมกำลังทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองประมาณ 80 นาย เข้าตรวจค้นโรงเรียนอิสลามบูรพา เมื่อเวลา 15.00 น.วันเดียวกัน
ขณะเข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่เห็นชายกลุ่มหนึ่งวิ่งหนีเข้าไปบริเวณบ้านพัก 4 หลังทางทิศตะวันออก จึงกระจายกำลังเข้าปิดล้อม โดยบ้านหลังแรกไม่พบผู้ใดอยู่ และไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย
ส่วนบ้านหลังที่ 2 ซึ่งมีชายกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้าไปนั้น พบจำเลยที่ 1 และ 3 นั่งหลบซ่อนอยู่ ในมือของจำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนสั้นขนาด 9 มม.จึงสั่งให้จำเลยวางปืนลง ค้นภายในห้องพบอาวุธปืนพกขนาด .38 อีก 1 กระบอก อาวุธปืนลูกซองยาว มีดยาว และของกลางอื่นรวม 13 รายการ นอกจากนั้นทางประตูหลังบ้าน พบจำเลยที่ 6 ไม่สวมเสื้อ นั่งเหงื่อไหลอยู่ มีวิทยุสื่อสารใช้คลื่นความถี่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติวางอยู่ ห่างจากตัวไม่เกิน 1 เมตร
บ้านหลังที่ 3 พบจำเลยที่ 4 และ 5 หลบซ่อนอยู่ใต้ผ้านวมใต้ราวแขวนผ้า ตรวจค้นภายในบ้านพบซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรท ดินระเบิด และชิ้นส่วนประกอบวัตถุระเบิดหลายรายการ ในตู้เหล็กยังพบสีโป๊รถยนต์และน้ำมันเบนซินบรรจุแกลลอน
บ้านหลังที่ 4 เป็นบ้านพักของ นายมะเปาซี มะเด็ง อุสตาซของโรงเรียนอิสลามบูรพา เป็นบ้านยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณใต้ถุนบ้านพบฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์ แผ่นซีดี สว่านเจาะผิวถนนพร้อมมือบิดเพลาของเครื่องตัดหญ้า 1 ชุด พลั่วตักดินแบบมีด้าม 1 อัน ไม่มีด้าม 2 อัน โดยขณะตรวจค้น นายมะเปาซี ไม่อยู่บ้าน
หลังการตรวจค้น เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวจำเลยที่ 1-6 และนายตอริก พร้อมของกลางไปที่ สภ.ตันหยง เพื่อแจ้งข้อหาและทำบันทึกการจับกุม เบื้องต้นจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในข้อหาตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม ส่วนจำเลยคนอื่นให้การปฏิเสธ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยที่ 7 ได้ที่ศูนย์พิทักษ์สันติ ภายในศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า อ.เมือง จ.ยะลา หลังจากถูกควบคุมตัวตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 จึงแจ้งข้อหาเดียวกับจำเลยที่ 1-6
เทียบหลักฐาน-คำให้การ
สรุปคำให้การของฝ่ายจำเลยทั้ง 6 คนได้ดังนี้
1.จำเลยที่ 1 และ 4 นำสืบว่าเป็นพี่น้องกัน ก่อนเกิดเหตุ 1 วันทั้งคู่เดินทางกลับจากทำงานในประเทศมาเลเซีย พบนายโอ๊ะไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริงที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส อาสาขับรถไปส่งจำเลยทั้งสองที่ อ.เมืองนราธิวาส ระหว่างทางนายโอ๊ะบอกจำเลยที่ 1 ว่าต้องไปแสดงความบริสุทธิ์ใจ จึงพาจำเลยที่ 1 และ 4 ไปที่โรงเรียนอิสลามบูรพา และพักที่บ้านภายในโรงเรียน ต่อมาถูกตำรวจหลายนายบุกเข้าทำร้ายร่างกายและจับกุม
2.จำเลยที่ 3 และ 5 นำสืบว่าเป็นเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมสถาบันการศึกษา ในวันเกิดเหตุทั้งคู่เดินทางกลับจากทำงานที่ประเทศมาเลเซีย จะไปพบญาติของจำเลยที่ 3 ที่ จ.ปัตตานี แต่จำเลยที่ 3 ขอแวะเยี่ยมน้องชายที่โรงเรียนอิสลามบูรพา กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายบุกเข้าทำร้ายร่างกายและจับกุม
3.จำเลยที่ 6 นำสืบว่าในวันเกิดเหตุไปที่โรงเรียนอิสลามบูรพาเพื่อสมัครเป็นอุสตาซ ระหว่างไปขอละหมาดที่บ้านหลังหนึ่งในโรงเรียน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายบุกเข้าทำร้ายร่างกายและจับกุม
4.จำเลยที่ 7 นำสืบว่าเป็นอุสตาซของโรงเรียนอิสลามบูรพา ในวันเกิดเหตุกำลังนำนักเรียนหญิงละหมาด ระหว่างนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายบุกเข้าตรวจค้นปอเนาะของนักเรียนชาย จำเลยที่ 7 ไม่สามารถเข้าไปดูได้ เนื่องจากตำรวจห้าม กระทั่งวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจค้นในโรงเรียนอีก และคุมตัวจำเลยที่ 7 ส่ง สภ.ตันหยง ก่อนส่งไปซักถามที่ศูนย์พิทักษ์สันติ
ทางด้านพยานหลักฐานที่ฝ่ายโจทก์นำเสนอ สรุปได้ดังนี้
1.เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมพบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (ที่เชื่อว่านำไปประกอบระเบิด) บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกของร้านอีซีทีอิเล็กทรอนิกส์ สอบถามเจ้าของร้านได้รับการยืนยันว่าจำเลยที่ 1-6 ไปที่ร้านจริง และจำเลยที่ 5 ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ร้านบ่อยครั้ง
2.ตรวจสอบฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์ พบข้อมูลการฝึกอาวุธปืน การก่อการร้ายในพื้นที่ และไฟล์เอกสารเป็นจดหมายที่ส่งถึงครอบครัวและผู้บังคับบัญชาของ นางทิพย์ภาภรณ์ ทรรศโนภาส น.ส.ยุพา เซ่งวัส และนายสมหมาย เหล่าเจริญสุข ซึ่งเป็นครูที่ถูกคนร้ายลอบสังหาร เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2550 และส่งถึงสมาพันธ์ครูจังหวัดนราธิวาส มีใจความเป็นการขอโทษที่ต้องฆ่าบุคคลทั้งสามเพื่อตอบโต้การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ มีการลงชื่อท้ายจดหมายว่า "เหล่านักรบอิสลามปัตตานี"
จากการสอบถามอดีตผู้บังคับบัญชาและญาติของครูทั้ง 3 คน ยืนยันว่าได้รับและอ่านจดหมายเหมือนกับที่พบในคอมพิวเตอร์ที่ยึดได้จริง ส่วนพนักงานไปรษณีย์ก็ให้การยืนยันว่า ซองจดหมายที่ถูกส่งถึงบุคคลดังกล่าว มาจากใน จ.นราธิวาส
3.การตรวจสอบฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์ ยังพบเอกสารที่มีเนื้อหาโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ เอกสารเกี่ยวกับรายละเอียดการใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด เครื่องยิงลูกระเบิด เครื่องควบคุมระยะไกล เครื่องวิทยุ และเครื่องตั้งเวลาดิจิตอล
4.ผลการตรวจพิสูจน์สารระเบิดและดีเอ็นเอที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม พบสารอาร์ดีเอ็กซ์ (สารประกอบระเบิดแรงสูง) ที่ผ้าขนหนูของนายตอริก กับที่พวงมาลัยและแผงคอนโซลรถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน กข 4276 นราธิวาส ของจำเลยที่ 7 ซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น
นอกจากนั้นยังพบสารประกอบระเบิดชนิดอื่นที่เสื้อและกางเกงของจำเลยที่ 2, 5 และ 6 รวมทั้งที่มือของจำเลยที่ 7 ยังพบสาร NG (ไนโตรกรายเซริน) ที่ใช้ในการทำระเบิดไดนาไมท์ สอดคล้องกับฝักแคระเบิดที่บรรจุไดนาไมท์ซึ่งถูกตรวจยึดได้
ส่วนจำเลยที่ 1, 3 และ 4 แม้ไม่พบสารระเบิดที่เสื้อผ้าและร่างกาย แต่จากการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ พบดีเอ็นเอของจำเลยที่ 1 ที่กระเป๋าใส่กระสุนปืนสีดำ พบดีเอ็นเอของจำเลยที่ 2 ที่ผ้าปิดจมูกกับที่เศษผ้านวมเปื้อนคราบเลือด พบดีเอ็นเอของจำเลยที่ 4 ที่ด้ามมีดคัตเตอร์ 4 ด้าม กับเทปกาวสีดำพันเชื่อมสายไฟสีแดง-ดำ พบดีเอ็นเอของจำเลยที่ 5 ที่ผ้าปิดจมูกกับที่เทปกาวพันแบตเตอรี่ และพบดีเอ็นเอของจำเลยที่ 6 ที่มีดโกนหนวด
นอกจากนั้นยังพบดีเอ็นเอของจำเลยที่ 1-6 บนวัตถุที่เป็นของใช้ในชีวิตประจำวันในบ้านที่เข้าตรวจค้นจับกุม แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีความเคลื่อนไหว จับต้อง ครอบครอง หรือเข้าใช้งานวัตถุเหล่านั้น รวมทั้งอยู่อาศัยในบ้านที่ถูกตรวจค้นมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เพิ่งแวะเข้าไปตามคำให้การ
ส่วนของกลางที่เป็นวัตถุระเบิด อุปกรณ์ประกอบ อาวุธปืน และวิทยุคมนาคมที่ยึดได้ ก็วางไว้อย่างเปิดเผย ไม่ได้ถูกเก็บซ่อนอย่างมิดชิด เป็นไปไม่ได้ที่จำเลยที่ 1-6 จะไม่เห็น หรือไม่รู้ถึงการมีอยู่ของวัตถุผิดกฎหมายดังกล่าว
5.โรงเรียนอิสลามบูรพาเป็นโรงเรียนประจำ มีครูเวรสลับกันทำหน้าที่ตรวจตราตั้งแต่เช้าถึง 23.00 น.ของทุกวัน มีการจัดระบบดูแลรักษาความปลอดภัยภายในโรงเรียน บุคคลภายนอกเข้าไปอาศัยอยู่ได้ย่อมต้องได้รับความช่วยเหลือหรือยินยอมจากผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นอุสตาซของโรงเรียน รู้เห็นเป็นใจให้จำเลยที่ 1-6 เข้าไปอยู่ในบ้านหลังที่ถูกตรวจค้นจับกุม
6.ผลการตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่ 17 เครื่อง พบการติดต่อกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ จ.นราธิวาส
ความเห็นศาลและคำพิพากษา
1.เชื่อว่าจำเลยที่ 1-5 และ 7 มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ความรุนแรงอันเนื่องมาจากการก่อการร้ายในพื้นที่ จ.นราธิวาส โดยเฉพาะเหตุลอบวางระเบิด โดยเป็นสมาชิกของขบวนการก่อการร้ายที่มีวัตถุประสงค์แบ่งแยกดินแดนของราชอาณาจักรไทย
2.เชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติ จำเลยที่ 3-5 เป็นสมาชิกระดับปฏิบัติการ จำเลยที่ 7 ดูแลรับผิดชอบทางการเงิน และปลุกระดมเยาวชน โดยใช้สถานที่ของโรงเรียนอิสลามบูรพา
3.ในทางการนำสืบของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 6 เข้าไปมีส่วนร่วมกระทำความผิด คงมีความผิดเพียงการครอบครองอาวุธปืนและวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต
4.คำเบิกความของจำเลยเป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาพิสูจน์ให้ประจักษ์ และพยานที่อ้างถึงก็ล้วนเป็นญาติสนิท คู่สมรส เพื่อนบ้าน และคนรู้จักใกล้ชิดคุ้นเคย จึงมีข้อตำหนิให้ระแวงสงสัยว่าเบิกความไปเพื่อช่วยเหลือให้พ้นผิดหรือไม่ และไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
5.พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3-7 มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ร.บ.วิทยุคมนาคมฯ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ลงโทษฐานร่วมกันมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 5 ปี ฐานร่วมกันมีวัถตุระเบิดที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ จำคุกคนละ 20 ปี ฐานร่วมกันทำ มี ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันดักรับไว้ใช้ประโยชน์ซึ่งข่าววิทยุคมนาคมที่มิได้มุ่งหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ จำคุกจำเลยที่ 1, 3-5 และ 7 คนละ 1 ปี
ฐานร่วมกันก่อการร้ายและเป็นซ่องโจร เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1, 3-5 และ 7 อุกอาจ ร้ายแรง เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติ และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม สมควรลงโทษสถานหนัก ให้ประหารชีวิต ส่วนจำเลยที่ 6 จำคุก 27 ปี
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ยึดได้จากบ้านพักภายในโรงเรียนอิสลามบูรพา ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นอุปกรณ์ประกอบระเบิด
หมายเหตุ : การใช้ถ้อยคำในพาดหัวว่า "คดีอิสลามบูรพา" นั้น ทางกองบรรณาธิการไม่ได้มีเจตนาสื่อถึง "โรงเรียนอิสลามบูรพา" ซึ่งเพิ่งได้รับอนุญาตให้เปิดการเรียนการสอนอีกครั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว หลังถูกสั่งปิดจากเหตุการณ์ในคดีนี้ แต่เป็นการเลือกใช้ถ้อยคำเพื่อให้เข้าใจง่าย เพราะเป็นสถานที่ที่เกิดการกระทำความผิดตามที่ปรากฏหลักฐานในสำนวน และเคยตกเป็นข่าวครึกโครม จึงขอเรียนมา ณ ที่นี้เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน