ครอบครัวน้องเมยพร้อมทีมทนายเตรียมฟ้อง 3 ศาล
ครอบครัวน้องเมย พร้อมเดินหน้าเรียกร้องความยุติธรรมควบคู่กันไปทั้ง 3 ศาล อาญา แพ่ง และปกครอง
วันที่ 8 มี.ค. 2561 ที่ สำนักงานทนายความ บริษัท บาร์ริสเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์ เฟิร์ม จำกัด เลขที่ 69 ถนนราษฎร์บำรง ซอย 6 ต.เนินพระ อ.เมือง ระยอง ครอบครัวตัญกาญจน์ ประกอบด้วย นายพิเชษฐ นางสุกัลยา และ น.ส.สุพิชา ได้ประชุมร่วมกับทีมดูแลงานกฎหมายและทีมทนายความจาก บริษัท บาร์ริสเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์ เฟิร์ม จำกัด ที่มี พ.ต.อ.สุธี แพทย์รังสี ที่ปรึกษาทีมกฎหมายบริษัท นายสาธิต พูลสวัสดิ์ พงศ์ หัวหน้าทีมกฎหมาย นายชวลิต แสวงทรัพย์ ทนายความ หัวหน้าสำนักงานร่วมประชุมรับฟังในการประชุม โดยมีจุดประสงค์เพื่อเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 60 ที่ผ่านมา ตามกระบวนการของกฎหมาย หลังไม่ได้รับคำชี้แจงถึงสาเหตุการเสียชีวิตที่มีความชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้รับคำชี้แจงจากโรงเรียนเตรียมทหารเพียงว่า เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
พ.ต.อ.สุธี เผยว่า ในวันนี้ (8 มี.ค.) ทีมทนายได้สรุปข้อมูลและหลักฐานทั้งหมดที่มีจนสะเด็ดน้ำและทำให้รู้ได้ว่านับจากนี้ไปจะเดินหน้าในกระบวนการยุติธรรมอย่างไร ภายใต้ประเด็นความสงสัยเรื่องการเสียชีวิตที่มีค่อนข้างมาก ขณะที่หลักฐานที่มีในมือและที่แสวงหาเพิ่มเติมเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะสามารถแสดงให้ศาลรับทราบและรับฟังในสิ่งที่สงสัย ควบคู่ไปกับพยานบุคคลและพยานเอกสารที่จะทำให้ศาลเชื่อได้ว่ามีการลงมือกระทำจริง โดยจะดำเนินเรียกร้องความยุติธรรมควบคู่กันไปทั้ง 3 ศาล คือศาลอาญา แพ่ง และศาลปกครอง
“กรณีที่ทางโรงเรียนเตรียมทหาร ได้นำภาพจากล้องวงจรปิดมาเผยแพร่ เป็นส่วนหนึ่งที่เรารับฟัง แต่จะให้เราเชื่อทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับความพยายามในการแสดงความบริสุทธิ์ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามที่ได้มีการแถลงข่าวไป เพราะคนของเราเสียชีวิตมา 140 วันแล้ว ซึ่งท่านทั้งหลายก็ได้นอนนิ่ง นั่งนิ่ง ยืนนิ่งกันมานานแล้ว วันนี้ท่านต้องได้ขับเคลื่อนที่จะมาเจอกันบ้าง ซึ่งนั่นหมายถึงทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ น้องเมย”
ส่วนระยะเวลาในการดำเนินงานจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่ที่ขบวนการต่างๆ รวมทั้งในชั้นศาล โดยทางทีมงานยืนยันว่า แม้จะต้องใช้เวลาในการทำงานนานเพียงใดก็จะเดินหน้าต่อไป เช่นเดียวกับที่มีผู้ต้องที่ถูกสั่งฟ้อง ที่ได้รับการประกันตัวไป ก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่สามารถกระทำได้ แต่ทีมทนายก็มีหลักฐานในการดำเนินคดี ที่เมื่อสาวไปถึงใครก็จะดำเนินคดีกับผู้นั้นด้วย
“ส่วนกรณีการเสียชีวิตของเด็กจากปัญหาสุขภาพที่ได้รับการชี้แจง กับหลักฐานที่เรามีมันต่างกันคือ อันดับแรก ความแตกต่างทางร่างกาย เมื่อเริ่มเข้ามาในโรงเรียนฯ กับสิ่งที่เป็นในปัจจุบัน มันค้านกัน และเป็นไปไม่ได้ที่ว่า คนอ่อนแอแล้วกองทัพจะรับเข้าไปเป็นนักเรียน เด็กกลับมาบ้านวิ่งเป็นระยะทาง 10 กม. ยังไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อย มีใครรู้ล่ะ แต่พี่น้อง พ่อแม่ เขารู้ วันนี้จึงบอกได้เลยว่าเราไม่หนักใจในการทำคดี เพราะเราไม่ได้สู้กับทหาร แต่วันนี้ลูกหลานเราเสียชีวิต ทหารก็ต้องย้อนกลับมาดูว่า พวกท่านได้ดูแลลูกหลานของเราหรือยัง ที่สำคัญโรงเรียนเตรียมทหาร เป็นสถาบันหลักที่มีหน้าที่ผลิตบุคลากรรับใช้ชาติ จะมาตีรวนว่าสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นต้องปกป้อง มันต้องแยกกันให้ออก เพราะสถาบันก็ต้องเป็นสถาบันต่อไป ในวันนี้เราเพียงจะเดินหน้าหาตัวคนที่รู้เห็นและเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตทั้งหมดมาดำเนินคดี”
นายชวลิต เผยว่า แม้ที่ผ่านมาทีมงานจะประสบปัญหาเรื่องการหาตัวพยานบุคคล แต่ก็เชื่อมั่นว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาลแล้ว ข้อมูลเรื่องพยานบุคคลที่เคยถูกกำหนดมาว่าต้องให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน จะคลายออกมาเอง
น.ส.สุพิชา เผยว่า ในวันนี้ทางครอบครัวต้องการให้เกิดกระบวนการรับผิดชอบกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น หมายถึง หากทางโรงเรียนฯ ต้องการที่จะเยียวยาทางครอบครัว ก็จะต้องผ่านขั้นตอนการดำเนินการในส่วนคดีแพ่ง ที่สำคัญขณะนี้ทางครอบครัวต้องการให้โรงเรียนฯ ร่วมมือด้านเอกสาร โดยเฉพาะเอกสารเรื่องการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของน้องชาย
“เราเคยขอไปหลายครั้ง แต่ก็ได้รับเพียงการนิ่งเฉย และเราก็อยากให้ทางโรงเรียนสนใจในคำขอ และส่งมาให้เราบ้าง แทนที่จะร้องขอเอกสารจากเราอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าเราได้รับการเยียวยาจากทางโรงเรียนฯ นั้น ที่ผ่านมา เราไม่เคยได้รับการเยียวยาใดๆ นอกจากเงิน 1 แสนบาท ซึ่งไม่รู้ว่าใช่การเยียวยาหรือไม่ เพราะทางโรงเรียนฯ แจ้งแค่ว่า เป็นค่าทำศพ และเงินตรงนี้ยังเก็บไว้อย่างดี ไม่เคยเปิดใช้ และเมื่อมีการปล่อยข่าวว่าเราได้รับเงินเยียวยาจำนวน 10 ล้านบาท ทำให้เราเสียหายมาก”