ขมวดปมสตง.ชำแหละตำบลละ5ล.รบ.บิ๊กตู่ เมื่อปัญหาขยายวงรุกที่ป่าสงวน นับร้อยโครงการ
"...ที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น คือ การตรวจสอบพบปัญหาในการดำเนินงานโครงการตำบลละ 5 ล้าน ไม่ได้จำกัดวงอยู่เพียงแค่ จังหวัดแพร่และจังหวัดอุตรดิตถ์ เท่านั้น มีการขยายวงไปยังจังหวัดอื่นๆ อีกหลายจังหวัดด้วย บ่งชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงว่า การดำเนินงานโครงการตำบลละ 5 ล้านบาท ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล คสช. นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์โครงการที่ตั้งไว้แล้ว ยังมีช่องโหว่และปัญหาเดิมๆ เกิดขึ้นไม่แตกต่างกับข้อวิจารณ์ ‘โครงการประชานิยม’ ของรัฐบาลในชุดที่ผ่าน ๆ แม้แต่น้อย.."
นับเป็นประเด็นใหญ่ที่สาธารณชนไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด!
สำหรับผลการตรวจสอบข้อมูลการดำเนินโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ 5 ล้านบาท) ภายใต้การบริหารงานรัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในพื้นที่ 2 จังหวัด คือ แพร่และอุตรดิตถ์ ที่ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนผ่านทางเว็บไซต์สตง.เป็นทางการอยู่ในห้วงเวลานี้ ซึ่งพบว่ามีปัญหาสำคัญเกิดขึ้น ในลักษณะเดียวกัน อาทิ การพิจารณาและดำเนินโครงการไม่เป็นไปตามแนวทางและหนังสือสั่งการที่กำหนด การดำเนินโครงการโดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การขอใช้สถานที่ มีการดำเนินโครงการซ้ำซ้อนกับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ของส่วนราชการ/หน่วยงาน/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดำเนินการในพื้นที่ และไม่เป็นไปตามระเบียบ หลักเกณฑ์ ด้านการเงินและพัสดุจำนวน เป็นต้น โดยล่าสุดสตง.อยู่ระหว่างการติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการดำเนินงานโครงการที่เกิดขึ้นใน 2 จังหวัด หลังจากส่งรายงานผลการตรวจสอบพร้อมข้อเสนอแนะการดำเนินงานไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัด มาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว
เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวปัญหาในขั้นตอนการดำเนินงานโครงการนี้มากขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ย้อนข้อมูลรายงานผลการตรวจสอบทั้ง 2 จังหวัดมานำเสนอณที่นี้อีกครั้ง
@ จังหวัดแพร่
สตง.ระบุว่า โครงการตำบลละ 5 ล้านบาท ของจังหวัดแพร่ จำนวน 8 อำเภอ มีโครงการที่ได้รับอนุมัติจำนวน 1,298 โครงการ งบประมาณรวม 389,494,900 บาท ซึ่งสำนักตรวจสอบพิเศษ ภาค 9 ได้ตรวจสอบการดำเนินงานทั้ง 8 อำเภอ พบว่า ที่ทำการปกครองอำเภอทุกแห่ง มีความบกพร่องด้านการดำเนินการหลายด้าน อาทิ การพิจารณาและดำเนินโครงการไม่เป็นไปตามแนวทางและหนังสือสั่งการที่กำหนด จำนวน 6 อำเภอ การดำเนินโครงการโดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การขอใช้สถานที่ จำนวน 7 อำเภอ มีการดำเนินโครงการซ้ำซ้อนกับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ของส่วนราชการ/หน่วยงาน/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดำเนินการในพื้นที่ และไม่เป็นไปตามระเบียบ หลักเกณฑ์ ด้านการเงินและพัสดุจำนวน จำนวน 8 อำเภอ เป็นต้น
จากการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการในพื้นที่พบว่า มีลักษณะการก่อสร้างขึ้นใหม่ ไม่ได้เป็นการซ่อมแซมหรือบูรณะทรัพย์สินที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะตามแนวทางที่กำหนด จำนวน 10 โครงการ จำนวนงบประมาณ4,426,000 บาท มีโครงการจำนวนมากที่มีรายละเอียดกิจกรรม รายการค่าใช้จ่าย ที่มีลักษณะซ้ำซ้อนกับโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จากรายจ่ายค้างจ่ายปีงบประมาณ 2558 แผนการดำเนินงานประจำปี และโครงการตามเทศบัญญัติ/ข้อบัญญัติประจำปีงบประมาณ 2559 จำนวน 88 โครงการ จำนวนงบประมาณ 29,827,500.00 บาท ขณะที่ที่ทำการปกครองอำเภอ จำนวน 4 อำเภอ ดำเนินโครงการแล้วเสร็จ และติดตามเรียกใบเสร็จรับเงินจากเจ้าหนี้หรือคู่สัญญามาเก็บไว้เป็นหลักฐานประกอบการตรวจสอบ แต่รายละเอียดใบเสร็จรับเงินไม่ถูกต้อง จำนวน 43 โครงการ จำนวนเงินเบิกจ่าย 15,234,862.00 บาท เช่น ระบุจำนวนเงินตามใบเสร็จรับเงินสูงกว่าที่จ่ายจริง เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีต่อกรมสรรพากรของผู้ประกอบการได้
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้อง จำนวน 8 อำเภอ จำนวน 160 โครงการ เช่น กำหนดราคากลางสูงกว่าความเป็นจริง คิดค่าปรับกรณีผู้รับจ้างส่งงานล่าช้าไม่ถูกต้อง เบิกจ่ายเงินเป็นค่าภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับคู่สัญญาที่ไม่ใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ด้วย
@ จังหวัดอุตรดิตถ์
สตง.ระบุว่า สำนักงานอุตรดิตถ์ กระทรวงมหาดไทย มีทั้งสิ้น 9 อำเภอ เป็นโครงการที่ได้รับการอนุมัติ 1,129 โครงการ งบประมาณ 334.20 ล้านบาท
จากการสุ่มตรวจสอบผลการดำเนินงานและสังเกตการณ์การใช้ประโยชน์ของการดำเนินโครงการไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ที่ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 9 อำเภอ 43 โครงการ พบว่ามี 7 อำเภอ คิดเป็นร้อยละ 77.78 ของจำนวนอำเภอทั้งหมด มีผลการดำเนินโครงการไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ อย่างคุ้มค่ากับงบประมาณที่ได้รับจัดสรร รวมทั้งไม่ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอาชีพ ไม่ก่อให้เกิด การจ้างงานและไม่สามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชน จำนวน 10 โครงการ เป็นเงินเบิกจ่าย 3,555,000 บาท
โดยเป็นโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ แต่ไม่มีการใช้ประโยชน์และทำให้งบประมาณสูญเปล่า เนื่องจากประชาชนไม่สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการอบรมให้ความรู้ การเลี้ยงปลากระดี่ในกระชังบก จำนวนเงินเบิกจ่าย 127,000 บาท และโครงการดำเนินการฝึกอบรมและแจกพันธุ์ปลากระดี่และกระชังบก
ผลการตรวจสอบพบว่า ลูกปลากระดี่ส่วนใหญ่ตาย ส่วนกระชังบก ไม่มีการใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์โครงการ ดังนั้นการดำเนินโครงการดังกล่าวจึงไม่ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอาชีพ และไม่สามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชน
ส่วนโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้น แต่ขาดการวางแผนเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ทันที เช่น ขาดการเชื่อมต่อสิ่งสาธารณูปโภค หรือไม่มีการเตรียมพื้นที่สำหรับเพาะปลูก ทำให้ไม่สามารถ ใช้ประโยชน์ได้ หรือใช้ประโยชน์ได้เพียงบางส่วน จ านวน 6 โครงการ จำนวนเงินเบิกจ่าย 1,887,600 บาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงซ่อมแซมระบบประปาหมู่บ้าน บ้านแหลมทอง หมู่ที่ 2 ต.ข่อยสูง อ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์ จำานวนเงินเบิกจ่าย 85,000 บาท, โครงการส่งเสริมอาชีพทางเลือกใหม่ทางด้านการเกษตร บ้านนาลับแลง หมู่ที่ 5 ต.ปุคาย อ.เภอทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ จำนวนเงินเบิกจ่าย 500,000 บาท , โครงการเจาะบ่อบาดาลเพื่อการเกษตร บ้านคลองละมุง หมู่ที่ 4 ต.ไร่อ้อย อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ จำนวนเงินเบิกจ่าย 467,000บาท
โครงการต่อเติมอาคารกะเทาะเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ บ้านกิ่วเคียน หมู่ที่ 12 ต.จริม อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ จำนวนเงินเบิกจ่าย 361,600บาท, โครงการต่อเติมโรงน้ำดื่มชุมชน บ้านห้วยหูด หมู่ที่3 ต.แสนตอ อ.น้ าปาด จ.อุตรดิตถ์ จำนวนเงินเบิกจ่าย 139,000บาท และโครงการปรับปรุงต่อเติมศูนย์ส่งเสริมอาชีพกลุ่มทอผ้า บ้านท่าโพธิ์ หมู่ที่ 1 ต.เด่นเหล็ก อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ จำนวนเงินเบิกจ่าย 335,000 บาท
ขณะที่โครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแต่ไม่มีการใช้ประโยชน์ 3 โครงการ จำนวน เงินเบิกจ่าย 1,540,400.00 บาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์สุสานหอย บ้านนาไร่เดียว หมู่ที่ 5 ต.สองห้อง อ.ฟากท่า จ.อุตรดิตถ์ จำนวนเงินเบิกจ่าย 359,000 บาท, โครงการปรับปรุงต่อเติมอาคารศาลาอเนกประสงค์ประจำหมู่บ้าน บ้านน้ำลัด หมู่ที่ 5 ต.ม่วงเจ็ดต้น อ.บ้านโคก จ.อุตรดิตถ์ จำนวนเงินเบิกจ่าย 499,400 บาท และ โครงการปรับปรุงศูนย์จัดจำหน่ายสินค้ามะขามหวานและการเกษตร บ้านสุมข้าม หมู่ที่ 4 ต.นาขุม อ.บ้านโคก จ.อุตรดิตถ์ จำนวนเงินเบิกจ่าย 682,000 บาท
ทั้งนี้ สตง. ระบุว่า โครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ แต่ไม่มีการใช้ประโยชน์ ใช้ประโยชน์บางส่วน หรือใช้ประโยชน์ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์โครงการ จะส่งผลกระทบทำให้งบประมาณสูญเปล่า 127,000 บาท จากโครงการอบรมให้ความรู้ การเลี้ยงปลากระดี่ในกระชังบกเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เนื่องจากปลากระดี่ส่วนใหญ่ตาย และเกษตรกรไม่ได้ใช้ประโยชน์จากกระชังบกที่ได้รับแจก หรือใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์โครงการ
นอกจากนี้ประชาชนในพื้นที่ยังสูญเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากวัสดุ ครุภัณฑ์ อาคาร สิ่งก่อสร้าง ที่ดำเนินการแล้วเสร็จโดยทันที เนื่องจากไม่มีการติดตั้งวัสดุครุภัณฑ์ ขาดการเชื่อมต่อ ระบบน้ำา ระบบไฟฟ้าเข้าสู่อาคาร สิ่งก่อสร้าง ไม่มีความพร้อมด้านสถานที่เพาะปลูก และการร่วมกลุ่ม อาชีพเพื่อบริหารจัดการโครงการ เป็นจำนวนงบประมาณเบิกจ่าย 1,887,600 บาท อีกทั้งรัฐสูญเสียโอกาสนำงบประมาณ จำานวน 1,540,400 บาท ไปใช้ในโครงการอื่นที่มี ความจำเป็น และตรงตามความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่
ตลอดจนกรณีที่โครงการไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ส่งผลให้โครงการ ดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขปัญหา หรือตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่ได้จึงถือว่าโครงการดังกล่าวไม่สามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ ระดับตำบล
เบื้องต้น สตง. ได้ทำหนังสือแจ้งถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้ง 2 จังหวัด ให้รับทราบและดำเนินการหาทางแก้ไขปัญหาแล้ว โดยเฉพาะการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามกฎหมายระเบียบทันที
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าการดำเนินงานที่ผ่านมายังไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่ที่น่าสนใจ คือ ในรายงานผลการตรวจสอบโครงการทั้ง 2 จังหวัด สตง.ระบุว่า จากการตรวจสอบพบปัญหาใหญ่นอกเหนือจากเรื่องการใช้จ่ายเงินงบประมาณไปทำโครงการต่างๆ ด้วย คือ กรณีการเข้าไปทำโครงการในพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าสงวน
โดยในส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ มีการระบุข้อมูลว่า สถานที่ดำเนินโครงการอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 113 โครงการ จำนวนเงินเบิกจ่าย 36,922,130.16 บาท ดำเนินการโดยไม่ได้ขออนุญาตใช้พื้นที่ ไม่มีเอกสารหลักฐานการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่จากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรืออธิบดีกรมป่าไม้ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 และอาจเป็นเหตุทำให้เกิดความเสียหายต่อสภาพป่าสงวนแห่งชาติ ส่งผลกระทบต่อสภาพความสมดุลของระบบนิเวศทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยากแก่การฟื้นฟูให้กลับคืนดีดังเดิม และเกิดการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มมากขึ้น
ส่วนจังหวัดแพร่ ระบุว่า พบว่ามีการดำเนินงานโครงการพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 39 โครงการ จำนวนงบประมาณ 9,059,800.00 บาท ดำเนินการโดยไม่ได้ขออนุญาตใช้พื้นที่ ไม่มีเอกสาร หลักฐานการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่จากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรืออธิบดีกรมป่าไม้ เป็นการผ่าฝืนกฎหมาย หรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ซึ่ง สตง.ระบุว่า โครงการที่ดำเนินการในพื้นที่ซึ่งมิได้ขออนุญาตตามหลักเกณฑ์การตรวจสอบกลั่นกรองโครงการ เช่น กรณีที่ดำเนินการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และป่าสงวนแห่งชาติ ขัดต่อกฎหมาย และระเบียบ ที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้อาจทำให้เกิดความสูญเสียต่องบประมาณแผ่นดินหากอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างต้องถูกรื้อ ถอน หรือถูกทำลาย อีกทั้งยังเป็นเหตุทำให้เกิดความเสียหายต่อสภาพอุทยานแห่งชาติ และป่าสงวนแห่งชาติ ส่งผลกระทบต่อสภาพความสมดุลของระบบนิเวศทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยากแก่การฟื้นฟูให้กลับคืนดีดังเดิม และเกิดการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มมากขึ้นสำหรับกรณีพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบ ดูแล บำรุง รักษาของวัด และโรงเรียน อาจส่งผลให้โครงการดังกล่าวซ้ำซ้อนกับแผนการใช้สถานที่ของหน่วยงานนั้น ๆ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของโครงการ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดการสูญเปล่าของงบประมาณแผ่นดิน
และที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น คือ การตรวจสอบพบปัญหาในการดำเนินงานโครงการตำบลละ 5 ล้าน ไม่ได้จำกัดวงอยู่เพียงแค่ จังหวัดแพร่และจังหวัดอุตรดิตถ์ เท่านั้น มีการขยายวงไปยังจังหวัดอื่นๆ อีกหลายจังหวัดด้วย
บ่งชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงว่า การดำเนินงานโครงการตำบลละ 5 ล้านบาท ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล คสช. นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์โครงการที่ตั้งไว้แล้ว ยังมีช่องโหว่และปัญหาเดิมๆ เกิดขึ้นไม่แตกต่างกับข้อวิจารณ์ ‘โครงการประชานิยม’ ของรัฐบาลในชุดที่ผ่าน ๆ แม้แต่น้อย
จึงนับเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินงานโครงการนี้ของรัฐบาล ในทุกภาคส่วน จะต้องรีบหาทางทบทวนแก้ไขปัญหา อุดช่องโหว่ทั้งหมดที่เกิดโดยเร็วที่สุด