ขมวดปมทุจริตศูนย์คนไร้ที่พึ่งพม. แกะรอยข้อมูลลับ 'ไอ้โม้ง' เรียกเงินทอนคืน 20-50%?
"...ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูง ในพม. จำนวน 2 ราย ในการโอนงบประมาณรายจ่ายงบอุดหนุนประเภทเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่พึ่ง ปีงบประมาณ 2560 ไปให้หน่วยงานในสังกัดส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะนิคมสร้างตนเอง และศูนย์พัฒนาราษฎรบนที่สูงบางแห่ง ซึ่งเป็นคนของตนเอง และเรียกกลับคืน 20-50% และในระดับพื้นที่ให้หน่วยงานที่ได้รับเงินนำไปจ่ายให้กับประชาชน ในลักษณะรวมกลุ่มอาชีพทำพิธีมอบผ่านกลุ่ม แต่จ่ายเงินไม่ครบ และหลักฐานการรับเงินครบเต็มจำนวน..."
เพิ่งเข้ารับมอบใบประกาศนียบัตรจากสำนักประชาสัมพันธ์ เขต 1 กรมประชาสัมพันธ์ เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ การทำความดีเพื่อคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ไม่ทนต่อการทุจริต ไปเมื่อเร็วๆ นี้
สำหรับ น.ส.ปณิดา ยศปัญญา นิสิตคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาการพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ น.ส.ณัฐกานต์ หมื่นพล อดีตลูกจ้างศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่ออกมาเปิดโปงปัญหาความไม่โปรงใสในการใช้จ่ายเงินของศูนย์ฯ ในลักษณะการปลอมลายมือชาวบ้าน เซ็นรับเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ติดเชื้อHIV คนละ 2,000-3,000 บาท รวมเป็นเงินกว่า 6.9 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นเรื่องที่คนในสังคมต้องให้การยกย่องเชิดชู
ขณะที่ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งโดยตรง ถึงมณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร ให้จัดชุดทหารมารักษาความปลอดภัยแล้ว ส่วนความเคลื่อนไหวใน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) อยู่ระหว่างการประสานงานกับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) ขยายผลการตรวจสอบการดำเนินงานของศูนย์ฯ ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ เพื่อให้สาธารณชนได้เห็นภาพข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาความไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้นในการดำเนินงานกรณีนี้มากขึ้น
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกจุดเริ่มต้นกรณีนี้ พบว่า ในช่วงเดือนมิ.ย.2560 ที่ผ่านมา สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทำหนังสือแจ้งถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นทางการว่า ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูง ในพม. จำนวน 2 ราย ในการโอนงบประมาณรายจ่ายงบอุดหนุนประเภทเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่พึ่ง ปีงบประมาณ 2560 ไปให้หน่วยงานในสังกัดส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะนิคมสร้างตนเอง และศูนย์พัฒนาราษฎรบนที่สูงบางแห่ง ซึ่งเป็นคนของตนเอง และเรียกกลับคืน 20-50% และในระดับพื้นที่ให้หน่วยงานที่ได้รับเงินนำไปจ่ายให้กับประชาชน ในลักษณะรวมกลุ่มอาชีพทำพิธีมอบผ่านกลุ่ม แต่จ่ายเงินไม่ครบ และหลักฐานการรับเงินครบเต็มจำนวน
ขณะที่จากการตรวจสอบข้อมูลของสตง.พบว่า ในปีงบประมาณ2560 ไตรมาสที่1 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ทำการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนประเภทเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่งผ่านหน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคไปแล้ว จำนวนรวมทั้งสิ้น 193,110,850 บาท
สตง.จึงขอให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
ซึ่งในช่วงเวลาที่ สตง.ได้รับการร้องเรียนดังกล่าว ใกล้เคียงกับกรณีศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น ถูกเปิดประเด็นว่ามีปัญหาความไม่โปรงใสในการใช้จ่ายเงินของศูนย์ฯ ในลักษณะการปลอมลายมือชาวบ้าน เซ็นรับเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ติดเชื้อHIV คนละ 2,000-3,000 บาท รวมเป็นเงินกว่า 6.9 ล้านบาท
เบื้องต้น ภายหลังจากที่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้รับแจ้งหนังสือจาก สตง. เป็นทางการ ก็รับลูก และมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า มีข้อสงสัยการดำเนินการจ่ายเงินสงเคราะห์จริง และแจ้งเรื่องให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ต่อในช่วงเดือน ต.ค.เพื่อให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ในการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง
ก่อนที่ผลสรุปจะออกมาว่า มีมูลกรณีที่กล่าวหา ผู้บริหารระดับสูงศูนย์ไร้ที่พึ่งขอนแก่น 2 ราย ถูกระบุว่า กระทำผิดวินัยร้ายแรงและอาจเกิดความเสียหายทางละเมิด ส่วนเจ้าหน้าที่ 3 ราย กระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง
ก่อนที่จะมีการสั่งให้ย้ายออกจากพื้นที่ และตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดในเวลาต่อมา
สถานการณ์ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2561 นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ยืนยันการตรวจสอบสวนศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดขอนแก่น ว่า ผอ.ศูนย์และเจ้าหน้าที่ 1 คนมีความผิดวินัยร้ายแรง ขณะที่ในระดับกระทรวง รมว.พม.ได้เชิญผู้บริหารพม.ทุกกรมเข้าพบ เพื่อกำชับถึงการเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ให้เป็นไปอย่างรัดกุม และให้มีมาตรการป้องกันช่องโหว่ต่างๆ นอกจากนี้ รมว.พม. ยังมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงผู้บริหารระดับสูง ที่ถูกร้องเรียนว่ามีส่วนพัวพันกับการทุจริตเงินสงเคราะห์ โดยแต่งตั้งให้บุคคลภายนอกเป็นประธานสอบด้วย
และหลังจากนั้นไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่ง โยกย้าย นายณรงค์ คงคำ รองปลัดพม. และนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัด พม. มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากปรากฎชื่อถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ด้วย
อย่างไรก็ดี นายณรงค์ คงคำ รองปลัดกระทรวง ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ตนและนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัด พม. ถูกสอบสวนด้วยจริง แต่ไม่กังวลใจและพร้อมจะชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการสอบสวนได้
ทั้งหมด คือ สถานการณ์ล่าสุด ที่เกิดขึ้นกับ ปัญหาความไม่โปร่งใสการใช้จ่ายเงินสงเคราะห์ครบครัวผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่พึ่ง ในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปดูข้อมูลจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ที่ถูกเปิดประเด็นจากหนังสือของ สตง. จะพบว่า รูปแบบ ลักษณะ ความไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้นในการดำเนินงานใช้จ่ายเงินของศูนย์ฯ
ดูเหมือนจะไม่ได้มีเพียงแค่การทุจริตของเจ้าหน้าที่ในระดับล่างที่ประจำอยู่ตามศูนย์ต่างๆ เท่านั้น
เพราะมีการระบุชัดเจนว่า ภายหลังจากที่มีการโอนเงินไปให้หน่วยงานในระดับพื้นที่แล้ว มีการเรียกเงินคืนกลับมาถึง 20-50%
คำถามที่น่าสนใจและชวนให้ติดตามต่อไปอย่างยิ่ง คือ บุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ไม่โปร่งใสของเรื่องนี้ อยู่สูงไปถึงระดับไหนกัน ถึงมีอำนาจอิทธิพลเพียงพอที่จะสั่งให้ใครดำเนินการเรื่องนี้ได้
ขณะที่สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันว่า ผู้เกี่ยวข้องเรื่องนี้ อาจจะไม่จบอยู่แค่เจ้าหน้าที่หรือข้าราชการระดับสูงเท่านั้น หากหน่วยงานตรวจสอบติดตามตรวจสอบเส้นทางการเงินให้ดี โดยเฉพาะในส่วนที่ถูกเรียกคืนกลับมา ถ้าหากมีจริง อาจจะเห็นข้อมูลเบื้องหลังที่ชัดเจนว่าแท้จริงแล้ว ใครที่เป็นไอ้โม้ง คอยยืนอยู่หลังฉากของเรื่องนี้จริงๆ ก็ได้
แต่ถ้าหากผลการตรวจสอบที่ออกมา คลุมเครือ ไม่ได้รับความกระจ่างชัด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการ เรียกเงินคืนกลับมาถึง 20-50% ว่ามีจริงหรือไม่ ทั้งที่มีข้อมูลเรื่องนี้ปรากฎชัดจริง
และบทสรุปสุดท้าย ของคนที่ถูกตัดสินลงโทษ เป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่ระดับล่าง ปลาซิวปลาสร้อย เท่านั้น
ความกล้าหาญของ น.ส.ปณิดา และ น.ส.ณัฐกานต์ ที่ทำไว้ อาจกลายเป็นเรื่องสูญเปล่า วงจรอุบาทว์แห่งการทุจริตในลักษณะนี้ จะหมุนวนเวียนต่อไปไม่รู้จักจบสิ้นสำหรับสังคมไทย
ซึ่งหากรัฐบาล คสช.ประกาศว่าจะปฏิรูปประเทศไทย สำหรับกรณีนี้หากมีความผิดชัดเจน ข้อมูลเชื่อมโยงไปถึงผู้บริหารระดับสูงของ พม. โดยตรง
คงถึงเวลาแล้วที่ 'ผู้มีอำนาจ' จะต้องกล้าตัดสินใจเชือดไก่ให้ลิงดู ให้คนไทยได้เห็นเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์สักที