'เฉลิมชัย' ลั่น! กองทัพไม่จำเป็นต้องกู้ “ภาพลักษณ์-หนุนรบ.” เพราะไม่มีอะไรเสียหาย
ผบ.ทบ. ระบุ กองทัพไม่จำเป็นต้องช่วยกู้ภาพลักษณ์หรือเป็นกองหนุนรัฐบาล เพราะภาพลักษณ์รัฐบาลไม่ได้เสียหาย
วันที่ 23 ก.พ. 2561 พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานงานวันรบพิเศษครบรอบ52 ปี โดยมีอดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่มาจากหน่วยรบพิเศษ ร่วมงานในปีนี้ คือพลเอกวิมล วงศ์วานิช และ พลเอกสนธิ บุญรัตนกลิน ขณะที่ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่ได้มาร่วมงานในปีนี้
ผู้บัญชาการทหารบก ระบุว่า ได้ปฏิบัติงานสังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษมา 30 ปี โดยขอให้ทหารรบพิเศษภูมิใจการทำหน้าที่ทั้งงานปิดลับและเปิดเผย ซึ่งปัจจุบันกองทัพบกมีบทบาทสร้างความมั่นคงสนับสนุนรัฐบาล และ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ถือเป็นหนึ่งในกำลังหลักของกองทัพบก ดังนั้นต้องเตรียมความพร้อมกำลังพล และยึดหลักคิดกองทัพบกเป็นที่พึ่งประชาชนทุกโอกาส พร้อมปฏิบัติภารกิจทันทีที่ได้รับคำสั่ง เพื่อสร้างความภูมิใจในฐานะทหารอาชีพ
พลเอกเฉลิมชัย กล่าวถึงการดูแลสถานการณ์ความมั่นคงและกรณีกลุ่มแอมเนสตี้ แถลงถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลไทยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลชี้แจงเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยขอให้ระบุมาให้ชัดเจนว่าเป็นการละเมิดในจุดใด เพราะปัจจุบันรัฐบาล คสช.ทำงานตามกรอบกฎหมาย และไม่มีการละเมิดสิทธิ โดยช่วงนี้ยังอยู่ในสถานการณ์พิเศษ จึงต้องประคับประคองไปสู่การเลือกตั้งตามแนวทางที่รัฐบาลกำหนด และหากวันนี้มีการยกเลิกคำสั่งคสช.ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสถานการณ์ความสงบเรียบร้อย ก็อาจจะนำไปสู่ความวุ่นวายได้
โดยปัจจุบันได้ลดการใช้อำนาจตามคำสั่ง คสช.ลง และใช้กฎหมายตามปกติเป็นหลักอยู่แล้ว พร้อมย้ำว่า การเผชิญหน้ากัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดล้วนทำให้เกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง จึงต้องขอร้องกันให้ทุกฝ่ายอยู่ในกรอบกฎหมาย
“กองทัพคงไม่ได้มีบทบาทถึงขั้นไปช่วยกอบกู้ภาพลักษณ์รัฐบาลหรือกองหนุน เพราะภาพลักษณ์รัฐบาลไม่ได้เสียหาย และได้รับการยอมรับ โดยสะท้อนจากผลสำรวจต่างๆ ส่วนกองทัพก็มีบทบาทดูแลความมั่นคง ช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน แม้ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรง” พลเอกเฉลิมชัย กล่าว
ผู้บัญชาการทหารบก ยังกล่าวถึงกรณีนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวลักษณ์ออกมาเปิดเผยประเด็นมีทหารรุ่นใหม่บางกลุ่มไม่พอใจรัฐบาลว่า ไม่ทราบข้อมูล แต่เชื่อมั่นว่า ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เพราะกองทัพมุ่งเน้นการให้ความรู้ ความเข้าใจและความยุติธรรมในการปกครอง จึงไม่น่าเกิดความคิดที่แตกแยกออกไป และทุกอย่างเดินตามแนวนโยบายของรัฐบาล