รื้อแล้ว!คฤหาสน์สุขาวดีสุดหรู หลังรุกทางสาธารณะริมทะเลพัทยา
วันที่ 22 ก.พ. 2561 จากกรณีที่เมืองพัทยา สนธิกำลังร่วมอำเภอบางละมุง สำนักงานเจ้าท่าพัทยา และสำนักงานที่ดิน รวมทั้งกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจ ลงพื้นที่ตรวจสอบแนวเขตที่ดินสาธารณะบริเวณด้านหลัง “บ้านสุขาวดี”ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังได้รับรายงานว่ามีการปลูกสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตภายในพื้นที่สาธารณะริมทะเล อีกทั้งยังมีการปิดทางถนนสาธารณะโดยมีการก่อสร้างกำแพงปิดกั้น และก่อสร้างอาคารเพื่อใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ยังฝ่าฝืนคำสั่งที่เมืองพัทยา ที่ห้ามไม่ให้มีการนำรถโดยสารขนาดใหญ่วิ่งรับส่งนักท่องเที่ยวบนฟุตปาทสาธารณะริมชายหาด จนทำให้ถนนเกิดความเสียหาย
ซึ่งจากการตรวจสอบแผนที่โดยสังเขปและการรังวัดของสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาอำเภอบางละมุง พบว่าแปลงที่ดินส่วนหนึ่งบริเวณที่ติดกับฟุตปาทริมทะเล ซึ่งตามเอกสารระบุว่า เป็น “ทะเล”ในพื้นที่ 11 ไร่เศษ ซึ่งมีแนวติดกับที่ดินของวัดช่องลม นาเกลือนั้น ปัจจุบันมีสภาพเป็นที่ดินแปลงขนาดใหญ่ ที่พบว่าทางบ้านสุขาวดี ได้ทำการจัดตกแต่งสวน พร้อมปลูกสร้างอาคารขนาดใหญ่ไว้ รวมทั้งมีการจัดทำรั้วบริเวณริมฟุตปาทชายทะเลคล้ายเป็นที่ส่วนบุคคล ซึ่งอาคารเหล่านี้ทางเจ้าหน้าที่ระบุว่า ไม่ได้มีการขออนุญาตก่อสร้างตามกฎหมาย
นอกจากนี้จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ภายในขอบเขตของบ้านสุขาวดี มีทางสาธารณประโยชน์ ขนาด 6x150 เมตร จำนวน 1 เส้น ที่ต่อเชื่อมจากถนนสาธารณะของซอยบางละมุง 8 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งมีการระบุไว้ว่ามีการยกให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2530 ที่ผ่านมา แต่ต่อมาพบว่าทางบ้านสุขาวดี ได้ทำกำแพงรั้วปิดกั้นทางไว้ และมีการก่อสร้างอาคารทับทางดังกล่าว ซึ่งกรณีนี้เมืองพัทยาได้ทำการกำหนดแนวเขต และขอความร่วมมือจากทางบ้านสุขาวดี ให้ทำการเปิดทางและรื้อถอนอาคารในส่วนที่รุกล้ำทาง รวมทั้งมีแผนจะทำแนวรั้วเหล็กบนทางสาธารณะริมชายหาด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำรถบัสขนาดใหญ่มาวิ่งรับส่งนักท่องเที่ยว ซึ่งมีกำหนดดำเนินการในวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์นั้น
ล่าสุดวันนี้ (22 ก.พ.) พล.ต.ต.อนันต์ เจริญชาศรี นายกเมืองพัทยา พร้อมด้วย นายวิเชียร พงษ์พานิชย์ รองนายกเมืองพัทยา ได้นำเจ้าหน้าที่สำนักการช่างเมืองพัทยา ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าในกรณีดังกล่าวอีกครั้ง โดยมี ดร.ปัญญา โชติเทวัญ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด พร้อมคณะร่วมให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพื้นที่ภายในบ้านสุขาวดี โดยเฉพาะในส่วนที่ระบุว่ามีการก่อสร้างอาคารทับ ทางสาธารณะประโยชน์นั้น เบื้องต้นพบว่า ทางบ้านสุขาวดีได้ทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวบางส่วนแล้ว โดยพบว่าเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ก่อสร้างติดกับกำแพงที่ต่อเชื่อมกับถนนสาธารณซอยบางละมุง 8 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งมีแนวทับทางสาธารณะประโยชน์ขนาด 6x150 เมตร โดยมีการนำรถแบ็คโฮพร้อมคนงานเข้าทำการทุบทำลายเพื่อเปิดทางแนวกว้างประมาณ 10 เมตร ซึ่งระบุว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเร็ววันนี้
จากนั้นคณะนายกเมืองพัทยา พร้อมด้วยผู้บริหารบ้านสุขาวดี ได้ลงพื้นที่สำรวจแนวที่ดินขนาดใหญ่จำนวน 11 ไร่ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีการปรับปรุงจนมีทัศนียภาพสวยงามและมีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่หลายร้อยตารางเมตร อยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวจำนวน 1 หลัง ซึ่งกรณีดังกล่าวทางเมืองพัทยา จะเร่งหารือกับสำนักงานเจ้าท่าพัทยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูความเป็นของที่ดินและเอกสารที่ถูกต้อง ก่อนดำเนินการตามขั้นตอน ขณะที่ในส่วนของอาคารขนาดใหญ่นั้นระบุว่า เป็นการก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะมีการนำเสนอตามขั้นตอนเพื่อขออนุมัติคำสั่งตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ควบคุมอาคารต่อไป
ขณะที่ปัญหาการนำรถบัสโดยสารขนาดใหญ่มาสัญจรบนทางสาธารณะประโยชน์ริมชายหาดนั้น กรณีดังกล่าวเมืองพัทยาจะชะลอการติดตัวรั้วแนวกั้นรถที่กำหนดไว้แต่เดิมในวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ ออกไปอีก 30 วัน เพื่อรอเวลาการรื้อถอนอาคารของบ้านสุขาวดี ในส่วนอาคารที่ทับทางสาธารณะประโยชน์ เพื่อใช้เป็นทางเข้าออกแทน จากนั้นก็จะมาทำแนวรั้วกั้นเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ในการพักผ่อนและชมทิวทัศน์ โดยจะไม่อนุญาตให้รถเข้ามาสัญจรได้อีกในอนาคต
ด้าน นายวิเชียร พงษ์พานิชย์ รองนายกเมืองพัทยา เปิดเผยว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามขั้นตอนและกลไกทางกฎหมาย โดยเฉพาะกรณีของการทวงคืนที่ดินสาธารณะให้กับแผ่นดิน ซึ่งเป็นนโยบายหลักและก็ไม่มีได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือรังแกใคร ซึ่งปัจจุบันก็พบว่าทางบ้านสุขาวดีก็ให้ความร่วมมือด้วยดีในการรื้อถอนอาคารในส่วนที่รุกล้ำทางสาธารณะประโยชน์ไปแล้ว ขณะที่อาคารบนที่ดินริมทะเลขนาด 11 ไร่นั้น คงต้องเป็นเรื่องของการตรวจสอบที่มาและเอกสาร รวมทั้งความเป็นมาที่ชัดเจนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเบื้องต้นทราบว่าในอดีตเป็นปากคลองสาธารณะประโยชน์ และเคยมีการร้องขอจากทางบ้านสุขาวดีเพื่อขอออกมาโฉนดมาแล้วในปี 2547 ซึ่งขณะนั้นตนเองดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าสำนักงานที่ดิน สาขาอำเภอบางละมุงอยู่และไม่ได้อนุญาตให้ตามการนำเสนอ เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช้ที่งอกตามธรรมชาติ เรื่องจึงเงียบหายไปกระทั่งมีปัญหาในปัจจุบัน ส่วนกรณีที่ทางบ้านสุขาวดี แจ้งว่าหากจะขอทำการเช่าพื้นที่ดังกล่าวได้หรือไม่นั้น คงต้องไปหารือและดูเรื่องของกฎหมายว่ามีข้อห้ามและอนุญาตในที่สาธารณะได้อย่างไรหรือไม่ต่อไป