สปสช.เตรียมตั้ง คกก.ร่วมหาข้อยุติ จ่ายเงินช่วยตาม ม.41 กรณีทำหมันแล้วท้อง
สปสช.เปิดเวทีถกความเห็นต่างกรณีจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตาม ม.41 ไม่พิสูจน์ถูกผิดเพื่อมนุษยธรรม กรณีทำหมันแล้วท้อง เป็น “พยาธิสภาพ” หรือ “เหตุสุดวิสัย”ได้ข้อสรุป 4 ประเด็นความเห็นต่าง เตรียมเสนอบอร์ด สปสช. ตั้ง คกก.ร่วมหาข้อยุติ “ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ” ชี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ไทยอยู่ที่ 0.2-2 รายต่อพันราย ผู้แทนแพทยสภา ย้ำหากให้เยียวยาได้ต้องแก้ กม.รองรับถูกต้อง ขณะที่ อนุกรรมการวินิจฉัยคำร้อง ม.41 จ.ลำพูน หนุนจ่ายได้เพื่อช่วยเหลือค่าเลี้ยงลูก หลังทำหมันเพราะมีลูกพอแล้ว
เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2561 ที่โรงแรมเซ็นทราฯ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ในเวทีถกแถลงทางนโยบาย (Policy Dialogue) เรื่อง “การจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41ในกรณีการเกิดภาวะอันไม่พึงประสงค์ภายหลังการคุมกำเนิด” จัดโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อเท็จจริงการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 กรณีที่มีความเห็นต่างต่อการตั้งครรภ์ภายหลังคุมกำเนิด 2 ด้านคือ 1.ให้ถือเป็นไปตามพยาธิสภาพ หรือ 2.ให้ถือว่าเป็นกรณีเหตุสุดวิสัย
รศ.นพ.อรรณพ ใจสำราญ ผู้แทนราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การคุมกำเนิดมีทั้งการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว แบบถาวร รวมถึงกึ่งถาวร มีรูปแบบการใช้ยาฉีด ยาคุม ยาฝังคุมกำเนิด แผ่นแปะ ห่วงอนามัย รวมถึงการผ่าตัดทำหมันที่เป็นการทำหมันถาวร มีหลักการคือทำให้ท่อรังไข่อุดตัน แม้ว่าหลังการผ่าตัดทำหมันแล้วโอกาสการตั้งครรภ์ยังเกิดขึ้นได้ แม้ปัจจุบันจะมีโอกาสน้อยมาก โดยข้อมูลช่วง 5 ปีย้อนหลัง สหรัฐอเมริกามีอัตราการตั้งครรภ์หลังการทำหมัน 13 รายต่อพันราย อังกฤษมีอัตราตั้งครรภ์หลังการทำหมัน 2-5 รายต่อพันราย ขณะที่องค์การอนามัยโลกกำหนดอัตราการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นได้หลังจากการทำหมัน 5 รายต่อพันราย
ส่วนประเทศไทยข้อมูลการตั้งครรภ์หลังการทำหมันอยู่ที่ 0.2-2 ต่อพันราย สาเหตุเกิดขึ้นได้ทั้งจากตัวผู้ให้บริการที่ไปผูกตัดท่อที่ไม่ใช่ท่อรังไข่ และเกิดขึ้นเองโดยท่อรังไข่ต่อกันเอง ซึ่งเกิดได้ทั้งภาวะตั้งครรภ์ในมดลูกและนอกมดลูก
นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ผู้แทนแพทยสภา กล่าวว่า การทำหมันถาวรนั้น ข้อเท็จจริงไม่มีการทำหมันถาวร แต่เป็นคำใช้ติดปาก โดยแพทยสภาได้รับข้อร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากแพทย์ เนื่องจากได้ทำหัตถการทำหมันอย่างถูกต้องแล้ว แต่ทำไมจึงถูกร้องเรียนภายหลังได้ จึงให้กลุ่มงานกฎหมายแพทยสภาไปหาข้อเท็จจริง เพื่อให้ระบบเดินหน้าต่อไปได้ โดยประเด็นปัญหาเริ่มตั้งแต่นิยามมาตรา 3 บริการสาธารณสุข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ซึ่งในปี 2555 ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามการรักษาพยาบาลให้ครอบคลุมถึงบริการสาธารณสุขจนเกิดการตีความครอบจักรวาล ขณะที่ ม.41 ระบุว่าการช่วยเหลือเบื้องต้นให้เป็นกรณีความเสียหายจากการรักษาพยาบาลโดยหน่วยบริการเท่านั้น ทั้งใน ม.42 ยังกำหนดให้ไล่เบี้ยสอบสวนผู้กระทำผิดอีก แม้ว่าที่ผ่านมาบอร์ด สปสช.จะไม่เคยให้มีการไล่เบี้ยก็ตาม
ขณะที่ในการพิจารณาของอนุกรรมการระดับจังหวัด ยังมีการตัดสินที่ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยมีกรณีการอนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือเหตุตั้งครรภ์หลังการทำหมันโดยให้เหตุผลว่า แม้ไม่เข้าหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเบื้องต้น แต่ให้มีการจ่ายเพื่อเป็นการช่วยเหลือทางศลีธรรมและบรรเทาความดือดร้อนของครอบครัว โดยที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ส่วนกลางกลับไม่สามารถยกเลิกคำตัดสินที่ไม่ถูกต้องได้ ดังนั้นมองว่าเรื่องนี้จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากให้มีการช่วยเหลือกรณีตั้งครรภ์หลังจากทำหมันแล้ว เพราะไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ทั้งการจ่ายเงินช่วยเหลือโดยไม่มีกฎหมายรองรับเป็นเรื่องอันตรายมาก ซึ่งแพทยสภาเสนอมาวันนี้เป็นการติเพื่อก่อ เมื่อผิดแล้วเราจะแก้ไขให้ถูกต้องหรือไม่
ทั้งนี้ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้มีการทำแบบฟอร์มหนังสือแสดงความยินยอมการรักษาส่งไปยังโรงพยาบาลในสังกัดและมีเรื่องการทำหมันอยู่ด้วย โดยมีเนื้อหาระบุว่าหากการทำหมันล้มเหลว ไม่ถือเป็นความผิดของผู้ให้บริการ เนื่องจากกรณีการตั้งครรภ์หลังการทำหมันพบได้ 4 รายต่อพันราย
ด้าน นพ.ธีรศักดิ์ คทวณิช ประธานอนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจังหวัดลำพูน กล่าวว่า ในการช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีทำหมันแล้วท้องที่จังหวัดลำพูนมี 17 ราย แยกเป็นกรณีผ่าตัดทำหมันแล้วท้อง 14 ราย และกรณีฉีดยาคุมแล้วตั้งท้อง 3 ราย ในจำนวนนี้มี 2 ราย ไม่ได้รับการช่วยเหลือ เนื่องจาก 1 ราย มายื่นภายหลังพ้นจากระยะเวลาที่กำหนด และอีก 1 ราย เป็นการยื่นในช่วงที่ถูกระบุว่าเรื่องนี้ให้ถือเป็นพยาธิสภาพ จึงไม่ได้รับการช่วยเหลือ โดยทุกกรณีที่ขอรับความช่วยเหลือตนจะลงไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยด้วยตนเองเพื่อดูข้อเท็จจริง สภาพความเป็นอยู่ครอบครัว
ความเห็นส่วนตัว ไม่เห็นด้วยกับการที่จะไม่จ่ายเงินช่วยเหลือผู้ที่ผ่าตัดทำหมันแล้วตั้งท้อง เพราะคนเหล่านี้มีลูกเพียงพอแล้วและไม่คิดจะมีลูกแน่นอน จึงได้ตัดสินใจทำหมัน ซึ่งการมีลูก 1 คนมีค่าใช้จ่ายที่ตามมา ซึ่งชาวบ้านที่เป็นเกษตรกรส่วนใหญ่มีรายได้นิดเดียว หากต้องมีลูกอีกคนก็รับค่าใช้จ่ายไม่ไหว แต่เมื่อมีแล้วก็ต้องเลี้ยงกันไป ดังนั้นเราควรช่วยเหลือ
“ชาวบ้านไม่รู้เพราะคิดว่าเมื่อทำหมันแล้ว นั่นหมายถึงเขาจะไม่มีลูกอีก แต่เมื่อตั้งท้องทั้งที่ทำหมันแล้ว เราควรช่วยเหลือ ผมเห็นด้วยกับเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือกรณีนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท โดยพิจารณาตามเศรษฐานะ ซึ่ง 1 แสนบาทจะเป็นค่าอะไรผมไม่รู้ แต่เพื่อชีวิตที่จะเกิดมาใหม่ ซึ่งการที่ทำหมันแล้วท้องจะเป็นเรื่องพยาธิสภาพหรือไม่ผมไม่รู้ แต่ควรมีมนุษยธรรมกันบ้าง เพื่อให้เด็กคนหนึ่งได้เติบโตเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของประเทศต่อไป” นพ.ธีรศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ นพ.ชาตรี บานชื่น ประธานกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข สปสช. กล่าวว่า ทั้งมาตรา 41 และ 42 มีมาตั้งแต่เริ่มหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยึดหลัก 3 ข้อ คือ การช่วยเหลือเบื้องต้น ไม่พิสูจน์ถูกผิด ที่เป็นการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และลดความขัดแย้งในระบบสุขภาพ อย่างไรก็ตามเมื่อความเห็นต่างในการช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีทำหมันแล้วตั้งท้อง ควรร่วมกันหาทางออก ซึ่งสามารถสรุปความเห็นต่าง 4 ประเด็น คือ 1.การทำหมันแล้วตั้งท้องถือเป็นพยาธิสภาพหรือเหตุสุดวิสัย 2.การออกระเบียบการรักษาพยาบาลตามมาตรา 41 ครอบคลุมถึงบริการสาธารณสุขถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้องเราจะปฏิบัติอย่างไร และไม่ถูกจะปฏิบัติอย่างไร 3.กรณีที่ใช้นิยามคำว่าสุดวิสัยกับระบบบริการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และ 4. การหาผู้รับผิดโดยไม่พิสูจน์ถูกผิดจะปฏิบัติอย่างไร ขณะที่ สตง.ระบุให้ต้องหาผู้รับผิดชอบ
“ถึงเวลาแล้วที่ต้องมาทบทวนความเห็นต่างในประเด็นข้างต้นร่วมกันเพื่อให้เกิดความชัดเจน ทั้งแง่รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ โดยให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วยผู้แทนจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข เพื่อหาข้อสรุปในประเด็นเห็นต่างเหล่านี้ เบื้องต้นจะนำข้อมูลที่ได้วันนี้เสนอต่อบอร์ด สปสช.เพื่อดำเนินการต่อไป” ประธานกรรมการควบคุมคุณภาพฯ กล่าว
ทั้งนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้นำเสนอข้อมูลการยื่นคำร้องและการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ โดยตั้งแต่ปี 2549-2560 มีการยื่นคำร้องกรณีการทำหมันจำนวน 792 ราย จากคำร้องทั้งหมด 10,445 ราย แยกเป็นการผ่าตัดทำหมันจำนวน738 ราย และเป็นการทำหมันชั่วคราว 54 ราย รวมเป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตลอดในช่วง 12 ปี จำนวน 42,879,000 บาท