มะกันบีบอาลีบาบา ขึ้นบัญชีดำขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์
สหรัฐขึ้นบัญชีดำเถาเป่าขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ต่อ หวั่นทำการค้าจีน-สหรัฐตึงเครียดยิ่งขึ้น
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) ประกาศขึ้นบัญชีดำ “เถาเป่า” แพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์ของอาลีบาบายักษ์อี-คอมเมิร์ซจีน ให้อยู่ในรายชื่อตลาดขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยระบุยังพบการจำหน่ายสินค้าปลอมจำนวนมาก สะท้อนว่าอาลีบาบายังไม่ดำเนินการปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์มากพอ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่กำลังเพิ่มขึ้น
รายงานของยูเอสทีอาร์ เปิดเผยว่า เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา ทางหน่วยงานได้รับคำร้องเรียนจากบรรดาธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจจำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ว่าพบสินค้าปลอมและละเมิดลิขสิทธิ์บนเถาเป่าจำนวนมาก แม้ยูเอสทีอาร์ระบุว่า อาลีบาบาพยายามเพิ่มการปราบปรามการจำหน่ายสินค้าดังกล่าว แต่มาตรการต่างๆ ยังไม่เห็นผลชัดเจน พร้อมแนะนำให้อาลีบาบาขยายการแบนผู้ขายสินค้าปลอม เพิ่มการปกป้องด้านลิขสิทธิ์ และดำเนินการอย่างจริงจังให้ผู้ค้ากลุ่มดังกล่าวได้รับโทษตามกฎหมาย
แม้ว่าการขึ้นบัญชีดำครั้งนี้ไม่มีบทลงโทษโดยตรง แต่เป็นการสกัดความพยายามกอบกู้ภาพลักษณ์ของอาลีบาบาที่กำลังกำจัดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากเว็บไซต์ และบั่นทอนการสร้างความเชื่อมั่นให้แบรนด์สินค้าต่างๆ มาจำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์มของอาลีบาบา ซึ่งมีผลต่อการขยายฐานลูกค้าทั่วโลก
ด้าน ไมเคิล อีแวนส์ ประธานบริษัท อาลีบาบา กรุ๊ป แสดงความผิดหวังต่อรายงานของยูเอสทีอาร์ โดยระบุว่าแม้อาลีบาบาพยายามปราบปรามสินค้าละเมิดสิทธิ์มากแค่ไหน แต่ยูเอสทีอาร์ยังคงเมินเฉยต่อความก้าวหน้าดังกล่าว ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว อาลีบาบาได้ปรับให้ระบบการปกป้องลิขสิทธิ์สินค้าบนเถาเป่าให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น และถอดรายชื่อสินค้าเข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ออกไปเป็นจำนวนมากก่อนดำเนินการจัดจำหน่าย อีกทั้งยังปิดร้านบนเถาเป่าที่เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ไปถึง 2.3 แสนราย ในช่วงเดือน ก.ย. 2016-ส.ค. 2017 ที่ผ่านมา และแจ้งเบาะแสที่นำไปสู่การจับกุมผู้ค้ากว่า 1,000 ราย และปิดแหล่งผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าดังกล่าวเกือบ 1,000 แห่ง
ทั้งนี้ รายงานของยูเอสทีอาร์ได้เปิดเผยรายชื่อแพลตฟอร์มออนไลน์รวม 25 แห่ง และตลาดออฟไลน์อีก 18 แห่งที่จำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยเช่นกัน โดยนอกจากเถาเป่าจะติด 1 ใน 25 แพลตฟอร์มออนไลน์ดังกล่าวแล้ว ตลาดออฟไลน์ในจีนอีก 6 แห่งในกรุงปักกิ่ง เมืองเสิ่นเจิ้น และในมณฑลกว่างโจวยังอยู่ในบัญชีดำดังกล่าวด้วยเช่นกัน