ฟัดอำนาจ 'นายทุน-ทหาร-ทักษิณ'ฉากสุดท้าย'สุทธิชัย หยุ่น' nation: the last journalist?
“...แต่ละครั้งที่เนชั่นทำอะไร ไม่ใช่เหตุผลทางธุรกิจ ไม่ใช่การเก็งกำไร ไม่มีนายทุนคนไหน เจ้าของหุ้นคนไหน มาสั่งให้เราทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเรารักษาความเป็นมืออาชีพของเรามาตลอด พลังของการเป็นสื่ออิสระมันมีค่าอย่างอธิบายไม่ได้ เราประกาศว่าผิดจากนี้ไม่ใช่เรา ก็มีคนมาหาว่าเราน่าหมั่นไส้ แต่เราออกกติกาจริยธรรมให้กับนักข่าวทุกคน เราประกาศว่าหากเราทำผิดสังคมกรุณาลงโทษเราด้วย...”
หลังจากร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์ เนชั่น เมื่อปี 2514 'สุทธิชัย หยุ่น' ที่ปรึกษากองบรรณาธิการเครือเนชั่น ในวัย 72 ปี อยู่เป็นเสาหลักคอยประคับประคอง เนชั่น ผ่านร้อนผ่านฝน มากว่า 47 ปี ก่อนประกาศเกษียณอายุการทำงานของตัวเองลง ในช่วงบ่ายวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมา
ในวันที่ต้องอำลาบริษัทที่ปลุกปั้นมากับมือ ชายชื่อ 'สุทธิชัย หยุ่น' ไม่มีน้ำตาไหลออกมาให้เห็นแม้แต่หยดเดียว มีแต่เสียงปลุกเร้า-ปลุกใจให้ “พนักงานเนชั่น” ลุกขึ้นสู้ใหม่ ช่วยกันคิด-วางแผน คาดการณ์อนาคตของ “สื่อ” ก่อนจะมุ่งหน้าผลิตข่าวที่มีคุณภาพต่อไป
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวมฉากสุดท้ายของ "สุทธิชัย หยุ่น” ที่เปิดใจพูดกับ “พนังานเนชั่น” เพื่อสะท้อนแง่คิดคนข่าว ศึกษาฉากต่อสู้ในอดีต เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน และจะจัดการกับอนาคตอย่างไร มานำเสนอเพื่อบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์วงการสื่อมวลชนไทยอีกครั้ง
โดยทันทีที่ “สุทธิชัย” ก้าวขึ้นเวทีเสียงปรบมือของ “พนักงานเนชั่น” ดังสนั่น ก่อนเจ้าตัวจะกล่าวผ่อนคลายความตรึงเครียดว่า “ตอนก่อตั้งบริษัทผมคือพนักงานคนที่หนึ่ง อยู่มา 47 ปี ก็ถือว่า "เก่าแก่ที่สุด” ทำเอา “พนักงานเนชั่น” หันมองเลขบัตรประจำตัวเองตนเองกันเป็นแถว
จากนั้น “สุทธิชัย” กล่าวต่อว่า "ผมขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันเดินทางสายนี้มาด้วยกัน ผมบอกกับพวกเราทุกคนได้ว่า จงภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของเนชั่น หรือเคยเป็นส่วนหนึ่งของเนชั่น นี่คือสถาบันที่เราบอกกับตัวเองได้ว่าเราเป็นสื่อมวลชนที่มีศักดิ์ศรี เราทำตั้งแต่หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และออนไลน์ เราบอกกับทุกคนได้ว่าเรามีเสรีภาพ ไม่เคยมีใครสั่งเราให้เขียนหรือไม่เขียน ให้รายงานหรือไม่รายงาน ตั้งแต่วันแรกของเนชั่นจนถึงวันนี้ ทุกคนที่ผ่านที่นี่มาและทุกคนที่ยังอยู่ จิตวิญญาณที่สำคัญที่สุดของเนชั่น คือไม่มีใครสั่งให้เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้ ไม่มี ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียว ผมยืนยันได้ ถึงแม้ว่าในสภาวะที่วิกฤตที่สุดของสื่อของเรา
สุทธิชัย ย้อนอดีตให้ฟังว่า เมื่อปี 2548 เราทำเนชั่นแชนแนลเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นช่วงที่นายทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ใช้แรงกดดันจนเราไม่สามารถทำงานได้ แต่ทุกครั้งที่เราสูญเสียอิสรภาพ เราฟื้นกลับมาได้ และทุกครั้งที่เราฟื้นจากวิกฤตเราจะแข็งแกร่งกว่าเดิม เราไปทำงานที่ไหนเราทุ่มให้ 100% เรารู้ว่าเมื่อเราทำหน้าที่แล้วเราทำเต็มที่เพื่อประชาชน และสาธารณชนจะได้รู้ว่าถ้ามีแบรนด์เนชั่นขึ้นมา คุณเชื่อได้ว่าเนชั่นจะทำ 100% เขาจะทุ่มเททุกอย่าง และเราซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเรา เรารับปากกับประชาชนว่าเราจะเป็นคนดี คนทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ เราทำจริงๆ
“แต่ละครั้งที่เนชั่นทำอะไร ไม่ใช่เหตุผลทางธุรกิจ ไม่ใช่การเก็งกำไร ไม่มีนายทุนคนไหน เจ้าของหุ้นคนไหน มาสั่งให้เราทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเรารักษาความเป็นมืออาชีพของเรามาตลอด พลังของการเป็นสื่ออิสระมันมีค่าอย่างอธิบายไม่ได้ เราประกาศว่าผิดจากนี้ไม่ใช่เรา ก็มีคนมาหาว่าเราน่าหมั่นไส้ แต่เราออกกติกาจริยธรรมให้กับนักข่าวทุกคน เราประกาศว่าหากเราทำผิดสังคมกรุณาลงโทษเราด้วย”
สุทธิชัย เล่าถึงอุดมการณ์การทำงานของสื่อเครือเนชั่นว่า สื่อในเครือเนชั่นตั้งโดยคนข่าว ไม่ใช่นายทุนหรือคนมีเงินที่อยากเป็นเจ้าของสื่อ เรารักษามันประดุจชีวิต
"ตอนคุณทักษิณเป็นนายกฯ เขาสั่งห้ามบริษัทในเครือ ห้ามหน่วยงานราชการ ห้ามทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาลงโฆษณากันเนชั่น ตอนนั้นไม่มีใครกล้าคบกับเราเลย ผมจำได้ว่าเคยพบกับนักธุรกิจคนนึง เขาก็บอกว่าขอโทษนะที่ไม่สามารถคุยกับคุณได้ เพราะกลัวว่ารัฐบาลจะเล่นงาน ผมก็บอกว่าบายๆแล้วกลับไปก่อน"
“ถ้าเราทำแบบนี้ ฝ่ายโฆษณา ฝ่ายบริหาร ก็จะมาบอกว่าทำอย่างนี้เราก็ตายซิ เราก็ไม่มีรายได้ แต่ดีที่ฝ่ายบริหารเข้าใจปรัชญาของเรา เขาไม่เคยจะมาเปลี่ยนแปลงนโยบาย เขาอาจจะหงุดหงิดบ้าง ไม่ชอบฝ่ายข่าวบ้าง แต่ไม่เป็นไร เพราะถือว่านั่นคือจุดแข็ง และเป็นจุดที่ทำให้สังคมไว้เนื้อเชื่อใจเนชั่น”
สุทธิชัย ย้อนความหลังเข้าร่วมงานกับช่อง 3 ว่า เราจัดสัมมนาที่ภูเก็ต แต่แขกรับเชิญมาไม่ได้ นักข่าวช่อง 3 มาร่วมงานสัมมนาด้วย เราเลยนั่งคุยกัน ผมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อ่าวเปอร์เซีย เขาอัดเทปไป เมื่อกลับไปที่ช่อง 3 บรรณาธิการเห็นว่าดีก็เอาออกอากาศ จากนั้นเขาก็ติดต่อเนชั่นมาให้ร่วมทำทีวี ทั้งที่เราไม่มีประสบการณ์ด้านทีวี แต่เรามีเนื้อหาจากคนทำหนังสือพิมพ์
“เราสามารถอธิบายข่าวได้ เราก็สามารถทำทุกสื่อได้ เมื่อเปิดโซเชี่ยลมีเดียเมื่อ 10 ปีก่อน เพื่อนนักข่าวถามคนเนชั่นว่าทำทำไม ผมพูดว่าวันนึงโซเชี่ยลมีเดียจะเป็นเบอร์หนึ่ง นักข่าวเนชั่นเป็นที่แรกที่ส่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลผ่านอีเมล เพราะก่อนหน้านี้เขาส่งข่าวผ่านโทรศัพท์ พอมีอีเมลผมบอกให้ส่งข่าวผ่านอีเมล โอ๊ย..มันเรื่องใหญ่เลย ผมบอกไปว่าอะไรใหม่เราต้องลอง ถ้ามันไม่ดีก็ไม่ทำ แต่ถ้าดีต้องทำต่อ แล้วมันจะเป็นจุดได้เปรียบของเรา”
“ครั้งหนึ่งผมให้ช่างภาพนำกล้องขนาดเล็กไปถ่ายภาพข่าว ช่างภาพทีวีของเราไม่กล้าไป เพราะเกรงว่าสู้เขาไม่ได้ มาบอกผมว่าเรามีกล้องเล็กแหล่งข่าวไม่ให้สัมภาษณ์ เขาบอกว่าทีวีมันต้องกล้องใหญ่ถึงจะเป็นทีวีจริง เหมือนช่อง 3 ช่อง 7 ช่างภาพทีวีเนชั่นก็ต้องทัดทานเสียงเยาะเย้ยปรามาส แต่ทุกอย่างพิสูจน์ด้วยเวลา สิ่งที่เราทำให้นักข่าวและช่างภาพของเราลำบากใจ ทำอะไรที่เขาไม่ทำกัน ผมเชื่อว่า 90 เปอร์เซ็นต์ พิสูจน์แล้วว่าเนชั่นถูกเกือบทุกครั้งไป เพราะเนชั่น กล้าเสี่ยง ที่เราทำผิดก็มีแต่เมื่อทำผิดเราก็เปลี่ยน”
สุทธิชัย เล่าอีกว่า เนชั่นเป็นที่แรกที่ให้นักข่าวทีวีภาคสนามเปิดหน้าในพื้นที่จริงรายงานสดเข้ามา เพราะสมัยก่อนนักข่าวทีวีต้องมีโต๊ะ เก้าอี้ มีฉากดีๆ ถึงจะออกทีวีได้ ของเราไม่ต้อง แล้วสคริปท์กรุณาท่องด้วย อย่าหยิบมาอ่าน ตอนแรกก็โดนต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ทำ คนเนชั่นดีอย่าง ต่อต้านอย่างไรก็ทำ แล้วคนอื่นเห็นก็ทำตามเรา เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมบอกให้ทุกคนปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยี ให้ยอมคิดแบบใหม่ หากไม่ยอมวันหนึ่งจะถึงวิกฤตที่วงการนี้จะต้องเจอ วงการสื่อจะต้องลดจำนวน มีคนบอกว่าผมบ้า สุดท้ายก็เรื่องจริง
“ผมบอกไว้แล้วนักข่าว 1 คนต้องทำได้หลายอย่าง ผมบอกว่าถ้าเราไม่ทำจะอยู่ไม่ได้ พวกเราจะตกงาน อาชีพสื่อจะไม่อยู่ในรูปแบบเดิม ผม อบรม กดดัน สั่งสอนทุกอย่าง ก็คงได้ผลระดับหนึ่ง วันนี้บางอย่างมันก็ช้าไปแล้ว ถึงจะปรับตัวก็ปรับช้าไป หลังจากนี้ก็ต้องปรับตามสิ่งที่เชื่อ ถ้าเราเชื่อว่าเราทำเนื้อหา เราก็ต้องทำความเข้าใจกับสื่อทุกรูปแบบที่จะเกิดให้ได้ ใครบอกว่าปรับตัวไม่ได้ ทำไม่เป็น ก็จะต้องยอมรับว่าชีวิตเราเลือกเอง เพราะไม่มีใครรับผิดชอบเราได้ นอกจากตัวเราเอง เราต้องเป็นสื่อที่จะต้องทันกับสิ่งต่างๆ เพื่อนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่จะผลิกโฉมแบบไม่น่าเชื่อ
"วันนี้เราบอกว่าเราไปทำข่าว แล้วเอาไมโครโฟนไปจ่อสัมภาษณ์ กลับมาตัดต่อเสร็จ แล้วบอกว่านี่ไงเราทำงานแล้ว มันไม่ยั่งยืนแล้ว เราต้องใช้เทคโนโลยี เราต้องใช้จินตนาการมากกว่าแรงงาน ถึงจะสามารถสร้างคอนเทรนต์ที่ดีได้”
ช่วงสุดท้าย “สุทธิชัย” ฝากกับพนักงานเนชั่นว่า “ผมหวังว่าสปิริตของการกล้าทำอะไรใหม่ๆจะอยู่กับคนเนชั่นตลอด ผมขอบคุณและขอโทษ หากทำให้ไม่สบายใจ ขอบคุณสำหรับการร่วมเดินทางที่ค่อนข้างจะยาวนาน ผมเขียนคอลัมน์กาแฟดำมาทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ ติดต่อกันมา 50 ปี บางรายการทีวีอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งไม่น้อยกว่า 30 ปี ตอนนี้ผมทำเฟซบุ๊กไลฟ์ทุกวัน คนหาว่าผมบ้า แต่ผมกลัวความไม่ทันสมัย ผมต้องการเข้าไปทดลอง เพื่อจะบอกกล่าวกันคนอื่นว่า เห้ย...นี่ของจริงนะ"
“ผมหวังว่าเมื่อผมเกษียณไปแล้ว ทุกท่านจะรักษาความเป็นเนชั่นที่สามารถรปรับตัวได้ รักษาความถูกต้องชอบธรรม และรักษาจริยธรรมอันดี ผมเชื่อว่าการเป็นสื่อที่ดี รับผิดชอบ ซื่อตรง ไม่ว่าจะเจออะไร มันยังเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่อย่างยั่งยืน และสามารถบอกกับทุกคนได้ว่าความเป็นเนชั่นยังอยู่กับตัวคน” (อ่านประกอบ : ฟันธงอีก3ปี สื่อหายร้อยละ40! 'หยุ่น' อำลาเนชั่น ขอกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข)
ขณะที่นายเทพชัย หย่อง ย้อนความการทำงานของสื่อในเครือเนชั่นว่า เนชั่นเคยผ่านอุปสรรคมากมาย หากยังจำกันได้ ย้อนไปตอนปี 2514 ประเทศไทยอยู่ในยุคปฏิวัติ โดยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ปฏิวัติตัวเอง หนังสือพิมพ์เดอะวอยซ์ ออฟ เดอะเนชั่น เป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวที่เรียกร้องให้ทหารคืนอำนาจประชาธิปไตยให้ประชาชน ซึ่งเป็นความกล้าหาญของเนชั่น
เทพชัย กล่าวอีกว่า เนชั่นสู้กับหลายเหตุการณ์วิกฤต ช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เราก็เรียกร้องให้กับประชาชน ช่วงที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เราก็ไม่ยอมให้กับนายทักษิณ เรื่องที่เนชั่นทำให้นายทักษิณโกรธมากคือ การเสนอข่าว นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ถูกกล่าวหาเรื่องโกงข้อสอบ
"วันนั้นผมก็ได้รับโทรศัทพ์ว่า หนังสือพิมพ์ทุกฉบับถูกคนของนายทักษิณโทรศัพท์ขอไม่ให้เสนอข่าวนี้ แต่ผมยืนยันว่าเนชั่นจะเสนอข่าวนี้ รุ่งเช้าก็พาดหัวข่าวไป ทำให้นายทักษิณโกรธมาก สั่งทุกหน่วยงานให้ไม่ลงโฆษณากับเรา
เทพชัย กล่าวตอนท้ายว่า “เรามีผู้นำในวงการสื่อหลายคน แต่ผู้นำที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจมีไม่กี่คน ซึ่งคุณสุทธิชัยมีจุดนี้ โดยเฉพาะเป็นแรงบันดาลในภาวะวิกฤต ไม่เคยห้ามนำเสนอข่าวที่จะเกิดผลเสียกับองค์กร ผมขอขอบคุณแทนพนักงานทุกคน”
ทั้งหมดคือตำนานคนข่าวเนชั่น จากปาก “สุทธิชัย” และ เทพชัย ในวันที่ "สุทธิชัย" ประกาศเกษียณการทำงานในนามเนชั่น ที่ฟูกฟักมาด้วยมือกว่า 47 ปี
หลังจากนี้ “เนชั่น” ในวันที่ไม่มี “สุทธิชัย” จะพาองค์กรเดินไปอยู่ในจุดใดต้องติดตาม
หมายเหตุ : ภาพประกอบจากเนชั่น