10 สถานการณ์เด็กไทยกับสื่อออนไลน์ เสี่ยงติดเกม เป็นเหยื่อ กลั่นแกล้ง นัดพบ และสื่อลามกอนาจาร
ผลสำรวจ 10 สถานการณ์เด็กไทยกับสื่อออนไลน์ พบโอกาสเสี่ยงติดเกม เป็นเหยื่อ การกลั่นแกล้ง การนัดพบ และสื่อลามกอนาจาร แต่น่าห่วงว่า 75% เด็กเชื่อว่าดูแลตัวเองและช่วยเพื่อนได้ ชี้ผู้ปกครองต้องมีความรู้-เข้าใจ สื่อออนไลน์เป็นเหมือนดาบสองคม ยื่นให้เด็กที่ยังมีวุฒิภาวะ เป็นการเปิดโอกาสให้คนแปลกหน้าเข้าถึงตัวเด็ก
เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารหอประชุม สำนักงาน กสทช. มีการจัดงานเสวนา “เด็กและเยาวชนไทย รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี” มีการเปิดตัวศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ หรือ ศูนย์โคแพท COPAT – Child Online Protection Action Thailand
“ศูนย์ COPAT ได้รับการจัดตั้งขึ้น เพื่อทำหน้าที่ประสานงาน เชื่อมร้อยงานดูแลเด็กและเยาวชนบนโลกออนไลน์ร่วมกับภาคส่วนๆ ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และเครือข่ายเด็กและเยาวชน"นายวิทัศน์ เตชะบุญ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้ข้อมูล
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ พ.ศ. 2560 – 2564 และเห็นชอบให้กระทรวง พม. จัดตั้งศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน ได้จัดตั้งศูนย์ COPAT – Child Online Protection Action Thailand เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ 5 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนากลไกและเครือข่ายที่เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ 2) การจัดระบบปกป้องคุ้มครองและเยียวยาเด็กและเยาวชน 3) การสร้างองค์ความรู้และการวิจัย 4) การเสริมสร้างศักยภาพเด็ก เยาวชน และบุคคลแวดล้อม และ 5) การสร้างความตระหนักสาธารณะ ในขณะเดียวกันจะมีหน่วยเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยออนไลน์ที่อาจส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนโดยตรง เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีองค์ความรู้และชุดเครื่องมือที่พร้อมรับกับสถานการณ์ สามารถคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กและเยาวชนลูกหลานของเราได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวถึงศูนย์ COPAT มีกลไกในการกำกับติดตามเชิงนโยบายคือ คณะอนุกรรมการส่งเสริมการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ ซึ่งมี นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานอนุกรรมการฯ ซึ่งอยู่ภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ซึ่งมีพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
ดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช กรรมการผู้จัดการมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย และ อนุกรรมการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ เปิดเผยว่า ศูนย์ COPAT ได้สำรวจสถานการณ์เด็กไทยกับภัยออนไลน์ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2560 กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กอายุ 9-18 ปี จำนวน 10,846 คน จากทั่วประเทศ ส่วนใหญ่เป็นเด็กมัธยม (93.10%) ข้อมูลชี้ชัด เด็กๆ เชื่อว่าอินเทอร์เน็ตให้ประโยชน์และสิ่งดีๆ มากมาย (98.47%) ในขณะเดียวกันก็ตระหนักว่า มีภัยอันตรายและความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบบนอินเทอร์เน็ต (95.32%) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถูกล่อลวง ติดตามคุกคาม ล่วงละเมิดทางเพศ กลั่นแกล้ง ถูกหลอกในการซื้อสินค้า เอาข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางมิชอบ ติดเกม และเข้าถึงเนื้อหาผิดกฎหมายหรือเป็นอันตราย
ดร.ศรีดา ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เชื่อว่า เพื่อนๆ มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดภัยอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวแล้ว (69.92 %) ในขณะที่คิดว่า การกลั่นแกล้งรังแกหรือการละเมิดทางเพศจะไม่เกิดขึ้นกับตัวพวกเขาเอง (61.39%) เมื่อเผชิญปัญหาภัยหรือความเสี่ยงออนไลน์แล้วสามารถจัดการปัญหานั้นเองได้ (74.91%) ทั้งยังสามารถช่วยเหลือเพื่อนที่ประสบปัญหาภัยออนไลน์ได้อีกด้วย (77.90%) จึงเป็นประเด็นที่ผู้ใหญ่ต้องทบทวนว่าเด็กๆ มีเครื่องไม้เครื่องมือที่เพียงพอจะรับมือกับภัยหรือความเสี่ยงออนไลน์ได้ดีอย่างที่พวกเขาเชื่อหรือไม่
“นอกจากนี้ เรายังพบว่า เด็กส่วนใหญ่เคยเล่นเกมออนไลน์ (80.48%) เด็กผู้ชายเสี่ยงติดเกมมากกว่าเด็กผู้หญิง โดยเล่นเกมทุกวันหรือเกือบทุกวัน (50.73%) ในขณะที่เด็กผู้หญิงเล่นเกมสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง (32.34%) เด็กเคยถูกกลั่นแกล้งรังแกทางออนไลน์ (46.11%) โดยเพศทางเลือกถูกกลั่นแกล้งมากที่สุด (59.44%) เด็กบางคนยอมรับว่า เคยกลั่นแกล้งคนอื่น (33.44%) เคยพบเห็นสื่อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ(68.07%) ส่วนหนึ่งตอบว่า เคยเห็นสื่อลามกอนาจารเด็ก (21.33%) ได้แก่ ภาพหรือวิดีโอเด็กในท่าทางยั่วยุอารมณ์เพศ การร่วมเพศระหว่างเด็กกับเด็กหรือเด็กกับผู้ใหญ่ เด็กยังเคยนัดพบกับเพื่อนออนไลน์ (15.97%) เด็กผู้ชายเคยนัดพบ (19.34%) ซึ่งมากกว่าเด็กผู้หญิง (12.43%)"
กรณีการนัดพบ ผลสำรวจยังพบว่า มีเด็กที่เคยนัดพบมากกว่า 10 ครั้งในช่วงสิบเดือนที่ผ่านมา (6.60%) เด็กอายุ 15-18 ปี หรือมัธยมปลาย เป็นกลุ่มที่มีการนัดพบมากที่สุด (77.36%) โซเชียลมีเดียและบริการรับส่งข้อความอย่าง Facebook หรือ Line เป็นช่องทางที่เด็กๆ ใช้ในการติดต่อพูดคุย นัดพบ หรือเข้าถึงสื่อไม่เหมาะสมต่างๆ (71.14 - 94.36%)
"มีเด็กไม่ถึงครึ่งบอกเรื่องที่เกิดขึ้นทางออนไลน์กับคนอื่น และคนแรกที่เขานึกถึงและบอกคือเพื่อน หรือคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันมากกว่าพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เรามองเห็นภาพสถานการณ์และปัญหาชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้รัฐบาลสามารถวางนโยบายจัดการรับมือกับปัญหาเด็กกับสื่อออนไลน์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในประเทศของเราไม่เคยมีการสำรวจข้อมูลในลักษณะนี้มาก่อน ถือเป็นของขวัญวันเด็กเริ่มในปีนี้และจะมีการสำรวจอย่างต่อเนื่องทุกปีต่อไป” ดร.ศรีดา ระบุ
ด้านนายธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการอิสระ และ อนุกรรมการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ ได้เปิดเผย รายงานสรุปสถานการณ์สื่อออนไลน์กับเด็กและเยาวชนไทย 2560 จากการศึกษาข้อมูลทุติยภูมิของการสำรวจวิจัย และงานเอกสารต่างๆ ในประเทศทั้งของหน่วยงานรัฐ และเอกชน ถึงสถานการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในประเทศไทย พบว่า มี “10 สถานการณ์วิกฤตภัยออนไลน์ต่อเด็กและเยาวชน” ที่หน่วยงานรัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ควรสร้างมาตรการระวัง ป้องกันภัย และรับมือได้แล้ว คือ
1. ปัญหาการเล่นเกม เด็กติดเกมส์ และ อีสปอร์ต ที่กำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการแก้ไขปัญหาเด็กติดเกม และเป็นทั้งโอกาสที่จะเปลี่ยนเด็กให้เป็นคนเล่นเกมล่าเงินรางวัลหรืออาจเสี่ยงนำไปสู่ปัญหาการสร้างความหวัง ความฝันที่จะเล่นเกมมืออาชีพแต่อาจจะติดเกมมากขึ้นหากรัฐและพ่อแม่ไม่เข้ามาใส่ใจดูแล
2. ปัญหา การครอบครองสื่อโดยที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ เนื่องจากค้นพบว่าประเทศไทยไม่มีการกำกับช่วงวัยและอายุที่เหมาะสม ทั้งในเชิงกฎหมาย และนโยบายรัฐ สถานศึกษา แต่ในเชิงการแพทย์ไทยเริ่มมีคำแนะนำเรื่องหน้าจอที่วัยเหมาะสมคือ อายุ ต่ำกว่า 2 ขวบห้ามเข้าถึงหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดแล้ว
3. การใช้สื่อออนไลน์กับการพนันออนไลน์ พบว่า ปัจจุบันช่องทางเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ ต่างๆ มีจำนวนมากที่เป็นสื่อเพื่อการพนัน ที่ปรากฏทั้งในลักษณะของเว็บพนันบอลโดยตรง หรือ การพนันผ่านรูปแบบคาสิโนออนไลน์ หรือแอบแฝงมาในลักษณะของเกมออนไลน์ และยังไม่มีกฎหมายกำกับควบคุมโดยตรงอีกทั้งเว็บไซตืเหล่านี้ยังโฆษณาผ่านสื่อเพื่อเผยแพร่ ล่อลวงให้เด็กเข้าไปเล่นลองมากขึ้น
4. การกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์ และการตกเป็นเหยื่อคุกคามทางเพศออนไลน์ โดยเฉพาะการลังแกผ่านการถ่ายคลิปเพื่อประจานและเผยแพร่ แชร์ ปรากฏผ่านการรายงานข่าวของสื่อมวลชนอยู่เนืองๆ ส่งต่อในระดับโรงเรียนประถม และมัธยม ที่น่ากังวลคือยังไม่มีผลการสำรวจทั่วประเทศ ปัญหานี้กลายเป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครสำรวจ วิจัยและป้องกันอย่างจริงจัง ซึ่งแตกต่างกับของต่างประเทศที่เรืองนี้นำไปสู่มาตรการทางกฎหมายและนโยบายของโรงเรียนและความตระหนักรู้ของครูและพ่อแม่ผู้ปกครอง
5. การถูกล่อลวงและล่อออกไปพบคนแปลกหน้าจากสื่อสังคมออนไลน์ ผลการสำรวจในประเทศยังพบน้อยในเชิงสถิติวิจัย แต่โดยในเชิงพฤติกรรมทางสังคม เคยมีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าปัญหานี้กลายเป็นพฤติกรรมต้นๆ ที่เด็กไม่ทราบว่าอันตรายและนำไปสู่การข่มขืน ถ่ายภาพบันทึกและการแบล็คเมล์กลับ ซึ่งเกิดขึ้นมากแต่ไม่มีการเก็บสถิติบันทึกที่ชัดเจนเนื่องจากมักเป็นกรณีที่เหยื่อ หรือครอบครัวไม่ต้องการให้เป็นข่าว
6. การใช้สื่อไปในทางเสริมสร้างอัตลักษณ์ออนไลน์สร้างภาพและเลียนแบบพฤติกรรม ค่านิยมที่ผิด
7. การหลงผิดเปิดเผยข้อมูลและความเป็นส่วนตัวบนสื่อออนไลน์
8. การขาดการส่งเสริม สร้างทักษะการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ ต่อตัวเด็กและเยาวชนและครอบครัว
9. การขาดกฎหมายกฎหมายปกป้องคุ้มครองเด็กจากสื่อออนไลน์ และที่สำคัญคือ
10. การขาดหน่วยงานกำกับดูแล ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่บูรณาการและเท่าทันสถานการณ์โดยเฉพาะ
นายธาม กล่าวด้วยว่า รัฐและหน่วยงานเอกชน ประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ควรสร้างและหาโอกาสที่จะนำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการร่วมกันวางกรอบแผนงาน เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาการใช้สื่อออนไลน์ของเด็กและเยาวชนไทย โดยเฉพาะในสถานการณ์วันนี้ ที่เด็กกับเทคโนโลยีมีความใกล้ชิดกันมากจนเกินกว่าจะแยกกันออก สิ่งสำคัญคือ การเร่งสร้างภูมิคุ้มกันสื่อในตัวเด็กและพ่อแม่ รวมทั้งการสร้างระบบหรือกลไกการกำกับดูแลเทคโนโลยีสื่อดิจิทัล และออนไลน์ที่กำลังส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเด็ก และจะส่งผลอย่างมากต่อการสร้างเด็กไทยเพื่อเพิ่มโอกาสและศักยภาพด้านดิจิทัลและการแข่งขันในศตวรรษที่ 21
ขณะที่นายพงศ์ธร จันทรัศมี ผู้จัดการศูนย์ข้อมูลนโยบายสาธารณะเพื่อลดผลกระทบจากการพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ชี้ว่า นอกจากเด็กจะต้องรู้จักและปกป้องตัวเองแล้ว ผู้ปกครองต้องมีความรู้และเข้าใจว่า สื่อออนไลน์เป็นเหมือนดาบสองคม การยื่นให้เด็กที่ยังมีวุฒิภาวะไม่เพียงพอนั้น เป็นการเปิดโอกาสให้คนแปลกหน้าเข้าถึงตัวเด็ก ผู้ปกครองจึงต้องเท่าทันเทคโนโลยีด้วย ซึ่งเมื่อมีการตั้งศูนย์ Copat แล้ว จะมีการจัดทำคู่มือสำหรับเด็กและผู้ปกครองในการเข้าถึงสื่อออนไลน์ โดยจะแบ่งเป็นแต่ละช่วงวัย ขณะนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และเด็กในวัยใดควรใช้สื่อออนไลน์อย่างไร เด็ก 8 ขวบขึ้นไป พ่อแม่ควรแนะนำอย่างไร เป็นต้น
"เราจะมีการจัดทำคู่มือออกมา คาดว่าจะสำเร็จภายใน 1-2 ปี รวมถึงจะได้มีการจัดการประเด็นปัญหาเรื่องอื่นๆในเชิงลึกมากขึ้น เช่น พนันออนไลน์ กับมาตรการทางกฎหมาย การร่วมมือเฝ้าระวัง การแจ้งเว็บไวต์ที่ผิดกฎหมาย หรือประเด็นการกลั่นแกล้งออนไลน์ เช่น การถ่ายรูปแล้วโพสต์แซวกันในเฟสบุ๊ค บางกรณีเป็นความกระทบกระเทือนทางจิตใจ การถูกล่อล่วงและการถูกนำข้อมูลไปแบลคเมล์ เป็นต้น รวมถึงการออกแบบระบบสำหรับการส่งต่อหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรณีที่เกิดปัญหาเช่นนี้ในโรงเรียน จะส่งต่อให้กับหน่วยงานใดดูแล และเยียวยาเด็กได้บ้าง"
นายพงศ์ธร เน้นย้ำทิ้งท้ายด้วยว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีและต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญและเปิดโอกาสให้เกิดการทำงานร่วมกัน รวมถึงหน่วยงานต่างๆที่ให้ความสำคัญ การดูแลเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ต้องอาศัยการทำงานเป็นทีมของทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง และต้องสร้างความสมดุลระหว่างการปกป้องและการสนับสนุนให้ใช้สื่อออนไลน์ เพื่อไม่ทำให้เป็นการปิดกั้นมากเกินไปและไม่เป็นการสนับสนุนมากเกินไป ที่สำคัญคือการมีกฎหมายและการบังคับใช้ เช่นในต่างประเทศเด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ห้ามเล่นสื่อออนไลน์ เป็นต้น อีกทั้งเด็กๆ ใช้วิธีติดต่อเพื่อนทางโลกออนไลน์มากขึ้น ผู้ปกครอง ครู และผู้นำชุมชนต้องรู้เท่าทัน